ความเป็นผู้ที่มีความปราณีต

 
tookta
วันที่  9 ก.ย. 2555
หมายเลข  21707
อ่าน  1,364

เราเห็นคนที่เรารู้จัก เขาเป็นแม่ลูกกัน แต่เค้าก็มีความประณีตไม่เท่ากัน ดังนั้น คำว่าดูนางให้ดูแม่ ก็คงจะไม่เป็นจริงนะซิ แต่เราอยากรู้ว่า เป็นเพราะเขาทั้งสองคนสะสมบุญกรรมมาไม่เท่ากันใช่ไหมคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีคำตอบ และ แสดงความจริงของชีวิต

ที่สัตว์โลกมีอุปนิสัยเป็นไป ทำให้มีความประณีต หรือ ไม่ประณีตที่เป็นอุปนิสัยต่างกันว่ามีเหตุ ครับ ซึ่งเหตุ ๒ อย่าง คือ เหตุภายใน และ เหตุภายนอก

เหตุภายใน คือ จิตใจของบุคคลนั้นที่สะสมมาในอดีต ทำให้เป็นผู้มีอุปนิสัยตามการสะสม เช่น ในอดีต เป็นผู้ที่เคยโกรธบ่อยๆ ในอดีตชาติ ก็ทำให้ชาติปัจจุบัน เป็นผู้มักโกรธ โกรธง่าย หรือ บางคน ในอดีต เป็นผู้มีการให้ทานบ่อย ก็ทำให้ชาตินี้ เป็นผู้ที่มีอุปนิสัยในการให้ทาน เป็นต้น นี่คือ อาศัยเหตุภายใน คือ การเกิดขึ้นของจิตแต่ละประเภทที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ทำให้มีอุปนิสัยที่ดี และ ไม่ดีแตกต่างกันไป

ส่วน เหตุปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้มีอุปนิสัยแตกต่างกันไป คือ เหตุภายนอก หรือ เราจะเรียกกันง่ายๆ เข้าใจง่าย คือ สิ่งแวดล้อม เพราะ อาศัยการเห็น การได้ยินในสิ่งที่ดี หรือ ไม่ดีต่างๆ มีการได้ฟังสิ่งที่ถูก สิ่งที่ผิด ก็ทำให้เกิดจิตที่ดี หรือ ไม่ดี ทำให้เป็นผู้มีอุปนิสัยตามนั้น เช่น ได้รับการอบรมสั่งสอนจากบิดา มารดาในสิ่งที่ถูก ก็ทำให้ มีความคิดที่ถูก ละ มีอุปนิสัยที่ถูก ตามมารดา ที่อบรมสั่งสอนได้ และหากได้รับการอบรมสั่งสอนที่ผิด จากใครก็ตาม ก็มีอุนิสัยที่ไม่ดีคล้อยตามไปกับบุคคลนั้น สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คบคนเช่นใด ก็เป็นคนเช่นนั้น ครับ

เพราะฉะนั้น แต่ละคน แม้มารดา และ ลูก ก็สะสมมาแตกต่างกันไป เพราะ เกิดมาแล้วในอดีตชาตินับไม่ถ้วน ก็ไม่ได้เป็น แม่ ลูกกันตลอดเวลา จึงมีการสะสมอุปนิสัยมาแตกต่างกัน แต่ ส่วนที่แม่อบรมสั่งสอน ก็ทำให้มีอุปนิสัยบางอย่างที่เหมือนกัน บางอย่างได้ แต่ไม่ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ดูนางให้ดูแม่ จึงเป็นการอธิบายได้บางส่วน ในส่วนของการอบรมสั่งสอนที่เป็นเหตุปัจจัยภายนอก ที่เหมือนกันบ้าง แต่เหตุภายใน คือ การสะสมมาในอดีตชาติ ที่เป็นการสะสมมาในอดีตชาตินับไม่ถ้วน ทำให้มีความต่างกันของมารดา และลูก ได้เป็นธรรมดา เพราะ ต่างจิต ต่างใจ คนละคนกัน ในการเกิดมาในอดีตชาติ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tookta
วันที่ 9 ก.ย. 2555

ขอบคุณนะคะ ถ้าหากว่าเราคิดว่าต้องเป็นคนที่คิดดี ทำดี พูดดี

ก็ถือว่าเป็นเหตุภายในใช่ไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 9 ก.ย. 2555

ถูกต้อง ครับ การคิดดี พูดดี เป็นการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกที่ดีที่เป็นเหตุภายใน

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tookta
วันที่ 9 ก.ย. 2555

ขอบคุณนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 10 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกชีวิต เป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม คือ

จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์)

เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ

รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร)

ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้ว่า กิเลส หรือ กุศลธรรม เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของกิเลสและกุศลธรรมนั้นๆ อยู่ตลอดเวลาที่วิบากจิต หรือ กุศลจิตไม่เกิดขึ้น นี้คือความจริง แสดงให้เห็นเลยว่าปุถุชนมักจะตกไปจากกุศล จริงๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นกิเลสระดับขั้นต่างๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

ขณะที่จิตเป็นกุศลเท่านั้น ซึ่งคั่นกิเลสในชีวิตประจำวันชั่วครั้งชั่วขณะ กล่าวคือ ขณะที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเกิดน้อยมากในชีวิตประจำวัน

แต่ละคน แตกต่างกันตามการสะสมจริงๆ แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง แต่เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ถ้าสะสมมาไม่ดี และ ยังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็สะสมพอกพูนสิ่งที่ไม่ดีต่อไป แต่ถ้าได้สะสมมาดี ก็ย่อมจะคิด ทำ พูด ในสิ่งที่ดี มีกาย วาจา และ ใจ ที่ดี เป็นกุศล

ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

ในกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ มีครอบครัวหนึ่ง ออกบวชทั้งแม่ และ ลูก คือ แม่ชื่อสาธนี ลูกชายคนโต ชื่อ โสธนะ ลูกชายคนต่อมาชื่อ กปิละ น้องสาว ชื่อ ตาปนา ทั้ง ๔ คนนี้ มีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม

พระโสธนะ เป็นผู้ไม่ประมาท อบรมเจริญปัญญา และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

พระกปิละ ประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมมากมาย ตายไป ไปเกิดในอเวจีมหานรก

ส่วนแม่ กับ น้องสาว คล้อยตามความประพฤติของพระกปิละ ด่าว่าพระภิกษุผู้มีศีล ตายไปก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก เช่นเดียวกัน แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ

ประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ เมื่อมีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นไป มีกาย วาจา และ ใจ แล้ว ก็ไม่ควรที่จะมีไว้เพื่อพอกพูนกุศลให้มากขึ้น แต่ควรที่จะเป็นไปในทางที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อความเข้าใจเจริญขึ้น ความเข้าใจนี้แหละ จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี เป็นเครื่องคอยเตือนว่า สิ่งไหน ควรทำ และสิ่งไหน ไม่ควรทำ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มกร
วันที่ 6 ธ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ