คนขี้น้อยใจ ขี้งอน
อยากปรึกษาทางธรรมะค่ะ ไปปรึกษามาหลายที่แล้ว แต่คิดว่าทางธรรมะคงจะช่วยตอบปัญหานี้ได้ดีกว่า ดิฉันแต่งงานอยู่กับสามีมาได้ ๑ ปีค่ะ สามีมีนิสัยขี้น้อยใจ ขี้งอน
ก่อนแต่งงานไม่เป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้อะไรนิดอะไรหน่อยก็งอน น้อยใจ เดี๋ยวก็บอกเลิก เดี๋ยวก็ทำประชดประชันอยู่ตลอด อยากทราบว่าอาการเหล่านี้เกิดจากสาเหตุอะไรคะ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสาเหตุและวิธีแก้ไว้หรือเปล่า รู้สึกแย่มากเลยค่ะ จนตัวเองจะต้องไปพบจิตแพทย์ เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับคนแบบนี้ได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สาเหตุปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ไม่พ้นจากิเลสที่สะสมมา ทั้งความงอน ขี้น้อยใจ ก็เป็นกิเลส คือ โทสะ ที่มีความรู้สึกไม่สบายใจในขณะนั้น และเพราะมีความติดข้อง คือ โลภะ ในสิ่งต่างๆ ที่สมมติบัญญัติว่าเป็นภรรยา เพราะติดข้อง กลัวการพลัดพรากจึงเกิดความน้อยใจ และ เพราะมีความไม่รู้ จึงทำให้เกิดกิเลสประการต่างๆ ครับ
ดังนั้น เหตุเกิดจากกิเลสเป็นสำคัญ ครับ
ส่วนวิธีแก้ ก็เปิดใจทั้งสองฝ่ายด้วยการพูดคุยกัน และให้ความไว้ใจ ที่สำคัญ พระพุทธเจ้าทรงแสดงวิธีการแก้กิเลส คือ การอบรมปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็จะทำให้คิดถูกขึ้น ก็จะทำให้เข้าใจกัน คือเข้าใจเขาที่เพราะมีกิเลส จึงทำให้ขี้งอน และเขาเข้าใจเรามากขึ้น เพราะความเข้าใจพระธรรมที่มากขึ้น ซึ่ง ควรเริ่มจากการปรับความเข้าใจ พูดคุยกัน ให้ความเชื่อใจ ไว้ใจ ให้เขารู้ ให้เขาสบายใจ และเมื่อเขามีอาการน้อยใจ ก็เห็นใจและปลอบใจเสมอๆ ก็จะทำให้เขาสบายใจขึ้น พร้อมๆ กับศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ด้วยครับ ก็จะทำให้เป็นผู้มีเมตตา และเห็นใจในความทุกข์ของผู้อื่นมากขึ้น ครับ ซึ่งจะต้องอาศัยความอดทน ในการอบรมปัญญาอย่างยาวนาน เพราะ สั่งสมกิเลสมามาก ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณค่ะ ดิฉันเคยพูดเปิดใจกับเขา เขาก็จะน้อยใจหนักเข้าไปอีก และจะพูดท้าเลิกตลอดเวลา บางทีคุยกันอยู่ดีๆ ดิฉันทำอะไรไม่ถูกใจเขานิดนึง ก็จะพูดประชดประชันใส่ และพูดตัดพ้อให้ดิฉันเจ็บช้ำน้ำใจตลอด บางครั้งก็พูดดูหมิ่นสิ่งที่ดิฉันทำเพื่อเขา พอดิฉันพูดตรงๆ ว่า เขาพูดทำร้ายจิตใจดิฉัน เขาก็จะยิ่งน้อยใจและพูดบอกเลิก ดิฉันก็เลยทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ ที่จะต้องไปพบจิตแพทย์นี่เพราะหาทางออกไม่ได้จริงๆ เพราะจะให้เลิกกับเขาก็ไม่ได้
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ
ความอดทนเท่านั้น พร้อมๆ กับความเข้าใจพระธรรม ที่พิจารณาว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของๆ ตน แม้ตัวเราที่ได้รับสิ่งเหล่านี้ ได้ยินสิ่งที่ไม่ดี ก็เพราะ เคยทำกรรมไม่ดีมา และ การไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจ ก็เพราะกิเลสของตนเอง ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไป ครับ
เพียงแต่ว่า เมื่อพบจิตแพทย์แล้ว ก็ควรพบแพทย์ที่ประเสริฐที่สุดด้วย ที่เป็นแพทย์ผู้รักษาโรคใจ คือ พระพุทธเจ้า ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในเว็บนี้ ก็จะทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น คิดถูกขึ้น และอดทนต่อเหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น แต่ต้องใช้เวลายาวนาน เพราะ ปัญญายังน้อย และสะสมกิเลสมาก
ขอเป็นกำลังใจให้คุณ Amornrutt ครับ
เชิญคลิกฟังพระธรรมที่นี่
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ละคน ก็ล้วนเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น มี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ยากที่จะพ้นไปได้ในชีวิตประจำวัน เพราะยังมีความติดข้องต้องการในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็เป็นเหตุให้โกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ งอน น้อยใจ เกิดขึ้น เป็นไป อันเป็นลักษณะของกิเลสอีกประเภทหนึ่ง คือ โทสะ
เพราะ ขณะที่งอน น้อยใจ ขณะนั้น ไม่สบายใจ ลึกๆ แล้ว ก็เพราะยังมีโลภะ อยู่นั่นเอง และอาการงอน น้อยใจ ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนที่แต่งงานกันเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีกิเลส มีความเกี่ยวพัน เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ก็ยากที่จะพ้นไปได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็คือ ธรรม เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรม ไม่ใช่เรา
หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจธรรมมากขึ้น ก็จะทำให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้นด้วย ทำให้เป็นผู้มีการกระทำ และ คำพูด ที่นึกถึงผู้อื่นมากขึ้น ไม่พูดและไม่กระทำในสิ่งที่จะทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ แม้จะเล็กน้อยเพียงใด ก็ตาม
และประการที่สำคัญ ในเมื่อยังมีกิเลสอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ก็ควรที่จะเห็นใจคนที่ยังมีกิเลสด้วยกัน การโกรธกัน การไม่พอใจกัน นั่น ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย เพราะเป็นการสะสมอกุศลให้กับตนเอง ซึ่งจะเป็นโทษกับตนเองโดยส่วนเดียว ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุญาตสนทนาธรรมด้วยครับ
จากการได้อ่านเรื่องราวของคุณ ขอบังอาจเสนอแนะ ก่อนนำไปใช้กรุณาพิจารณานะครับ
คืออยากให้คุณพยายามเข้าใจเขา อย่าให้เขามาเข้าใจคุณ ให้คุณมีเมตตาต่อเขา ไม่ต้องให้เขามาเมตตาต่อคุณ ต้องบอกตัวเอง เราเป็นฝ่ายผิด ฟังดูอาจทำได้ยาก แต่คุณต้องลองทำดู ค่อยๆ ทำ (ขันติ) ถ้ายังมีปัญหาอีก ก็ขอโทษเขา ทำสิ่งดีๆ ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประกอบด้วยจิตเมตตา ... ถ้ายังเกิดปัญหาอีก ก็ขอโทษเขาอีก แล้วทำดีต่อไป ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประกอบด้วยจิตเมตตา ... ปัญหานี้เกิดกับผมมาแล้วครับขอให้คุณโชคดีนะครับ
ขออนุโมทนา
ความทุกข์ทั้งหลายเกิดมาจากกิเลส (โรคทางใจ) ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับ ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดทุกข์นานาประการ
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ณ ที่นี้มีแต่กัลยาณมิตรที่มีเมตตาพร้อมที่จะเกื้อกูลให้เกิดปัญญาความเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นยาที่วิเศษที่สุดที่จะรักษา คนไข้ที่เป็นโรคต่างๆ ให้หายได้ แต่กิเลสที่สะสมมา ก็มากเหลือเกิน อดทนที่จะฟังพระธรรมสะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ กิเลสที่มี ต้องค่อยๆ ขัดเกลาด้วยปัญญา คือ ความเข้าใจธรรมเท่านั้นค่ะ
ขณะเดียวกัน พระธรรมก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะเข้าใจได้โดยเร็ว จึงต้องอดทนที่จะรับการรักษา เพราะจะทำให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง
ส่วนการไปพบจิตแพทย์ ก็คงช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้โรคกิเลสเบาบางหรือหายได้
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
ครอบครัวจะมีความสุขได้นั้น ก็ต้องมีความพอดีครับ ถ้าไม่มีความพอดี ก็จะกลับมีแต่ ความพอใจและเอาแต่ใจตัวเป็นหลักเป็นที่ตั้ง และก็จะทำให้มีปัญหาตามมาครับ และการขัดใจ ขัดเคือง น้อยใจ หรืองอนกันนั้น ก็เกิดจากกิเลสที่ได้สะสมไว้อย่างหนาแน่นมากมายสุดที่จะประมาณครับ ก็เป็นปรกติของกิเลสที่เป็นอย่างที่เป็นครับ ถ้าอยากทราบว่า เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ และที่ว่าสุขนั้นจะเป็นสุขจริงแท้แน่นอนหรือเปล่านั้น ต้องหันมาฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะชีวิตที่วิ่งตามหาความสุขเจือด้วยกิเลสมีทุกข์มากครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ชีวิตคู่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ นะคะ ซึ่งในบางครั้งก็มีอุปสรรคบางประการที่ทำให้ชีวิตคู่ดำเนินไปได้ยาก คิดว่าการใช้ชีวิตคู่น่าจะมี ๒ สิ่งนี้คือ
๑. การให้อภัยซึ่งกันและกัน (ในบางครั้ง เราหรือเขา ก็อาจจะทำอะไรที่ต่างฝ่ายไม่ชอบใจ) ก็ควรให้ภัยต่อกัน และก็ควรที่จะบอกเหตุว่า ทำไมถึงไม่ชอบสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ ให้คู่ชีวิตของเรารู้ จะได้ไม่เข้าใจผิดกันไปใหญ่
๒. รับฟังซึ่งกันและกันบ้าง (ซึ่งในบางครั้งสิ่งที่ต่างฝ่ายทำ อาจจะมีเหตุผลที่ดี) แต่อาจจะมองไม่เห็น ก็ควรที่จะพูดคุยกัน และ เปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกัน จะได้แก้ปัญหาต่างๆ ให้มันดีขึ้น
โดยทั่วไป คู่ชีวิตส่วนใหญ่มักคิดว่าจะต้องดูแลซึ่งกันและกันให้ดีที่สุด แต่เราว่าเขาคิดขาดไปอีกสิ่งหนึ่ง นั้นก็คือ เขาต้องคิดเพิ่มไปอีกว่าเราจะดูแลตัวของเราให้ดีที่สุดเหมือนกัน เพื่อจะได้ไม่ไปเป็นภาระของคู่ชีวิตของเรา
และอีกหนึ่งความคิดของผู้หญิงส่วนใหญ่ คิดว่าจะต้องเอาใจสามี เพื่อให้สามีรัก การเอาใจสามีก็เป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่การที่เอาใจมากเกินไป มันจะทำให้สามีตัวเองนิสัยเสีย ถ้าหากว่าสักวันหนึ่งเรามีเหตุบางประการที่ไม่สามารถที่จะเอาใจเขาได้ ก็จะเป็นปัญหาครอบครัวอีก ดังนั้น ควรเปลี่ยนจากการเอาใจมาเป็นใส่ใจดูแลกันก็น่าจะดีนะ
ขอเป็นกำลังใจกับคู่รักทุกคู่นะคะ
เพิ่มเติม ลองไปอ่านพระไตรปิฎกและอรรถกถา เล่ม 37 หน้าที่ 197 ภริยาสูตร ครับ
เจริญในกุศลธรรม
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ แก้คนอื่นไม่ได้ แต่แก้ไขตัวเองได้ เพราะแต่ละคนสะสมมาไม่เหมือนกัน ถ้ามีปัญญาสักอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใครก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่มีปัญหากับใคร หนทางเดียว คือ การศึกษาธรรมะให้เข้าใจขึ้น ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"เหตุดี ผลก็ย่อมดี"
"ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง"
"บุคคลไม่ควรเพ่งโทษคนอื่น"
"เราทำดีกับใครให้ลืม ใครทำดีกับเราให้จำ"
"มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา โดยการฟังและศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในพระธรรม เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ขณะทุกข์ สุข หรือไม่ก็ตาม ควรค่อยๆ เข้าใจ พิจารณา ไตร่ตรอง ธรรมะในชีวิตประจำวันแทนที่จะครุ่นคิดเรื่องไม่สบายใจที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ศีกษาพระธรรม
ขอเป็นกำลังใจ ให้คุณ Amornrutt นะคะ
อนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข ดิฉันเลือกที่จะหย่าค่ะ
แต่ถ้าคุณยังรักเขา อยากอยู่กับเขาต่อไป ก็ต้องเมตตาเขามากๆ
เพราะเขาเป็นทุกข์ ถึงทำนิสัยแบบนี้
ถ้าคุณเปลี่ยนเขาไม่ได้ คุณก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง
เมตตาเขามากๆ ไม่ต้องเก็บคำพูดของเขามาเป็นอารมณ์ให้มากนัก