วิปัสนาญาณมีเจริญแล้วเสื่อมไหมครับ

 
rojer
วันที่  10 ก.ย. 2555
หมายเลข  21711
อ่าน  1,997

๑. ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนได้วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นสมบูรณ์แล้ว จะสังเกตตัวเองได้อย่างไรครับ

๒. ผู้ที่เป็นโสดาบันบุคคลแล้ว ย่อมต้องผ่านวิปัสสนาญาณ ทุกขั้นอย่างสมบูรณ์จนถึงมรรคจิตและผลจิต แล้วเหตุใดยังต้องเจริญสติต่อไปอีกละครับ ก็ในเมื่อวิปัสสนาญาณทุกขั้นสมบูรณ์แล้ว จึงจะเกิดมรรคจิต ผลจิตได้ ถ้ายังไม่สมบูรณ์ในวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจ์ได้ หรือว่าวิปัสสนาญาณ แต่ละขั้น เจริญสมบูรณ์แล้วเสื่อมได้ ผู้ที่เป็นโสดาบันบุคคลจึงต้องเจริญอีก แล้วต้องกลับมาเริ่มที่นามรูปปริจเฉทญาณใหม่ หรือเปล่าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนได้วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นสมบูรณ์แล้ว จะสังเกตตัวเองได้อย่างไรครับ

- ปัญญาที่เกิดขึ้นนั่นเองครับ จะเป็นตัวสังเกต และบอกได้เองครับว่า ได้วิปัสสนาญาณ เพราะ ปัญญาทำหน้าที่รู้ชัดตามความเป็นจริง ดังนั้น เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดในแต่ละขั้น ก็มีปัญญาเกิดรู้ชัดตามระดับขั้นนั้น เมื่อปัญญาเกิดก็รู้ชัดว่าปัญญาเกิดรู้ความจริงอะไร ในขณะนั้น จึงรู้ว่าวิปัสสนาญาณเกิดเพราะมีความรู้เกิดขึ้น ครับ


๒. ผู้ที่เป็นโสดาบันบุคคลแล้ว ย่อมต้องผ่านวิปัสสนาญาณทุกขั้นอย่างสมบูรณ์จนถึงมรรคจิตและผลจิต แล้วเหตุใดยังต้องเจริญสติต่อไปอีกละครับ ก็ในเมื่อวิปัสสนาญาณทุกขั้นสมบูรณ์แล้ว จึงจะเกิดมรรคจิต ผลจิตได้ ถ้ายังไม่สมบูรณ์ในวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจ์ได้ หรือว่าวิปัสสนาญาณ แต่ละขั้น เจริญสมบูรณ์แล้วเสื่อมได้ ผู้ที่เป็นโสดาบันบุคคลจึงต้องเจริญอีก แล้วต้องกลับมาเริ่มที่นามรูปปริจเฉทญาณใหม่หรือเปล่าครับ

- วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นและดับไป แต่ปัญญาที่เกิดจากการรู้ชัดที่วิปัสสนาญาณเกิด ปัญญานั้นไม่ได้หายไปไหน แต่อาจจะยังไม่คมกล้าพอ เพื่อที่จะถึงการดับกิเลสที่มีมากมาย ครับ จึงจะต้องเจริญสติปัฏฐานและวิปัสสนาญาณบ่อยๆ

ดังนั้น ที่ยังต้องเจริญสติปัฏฐานต่อ แม้ได้วิปัสสนาญาณ จนถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว เพราะ ยังมีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ ยังไม่จบกิจ เพราะฉะนั้น กิจที่ควรทำที่เป็นไปในการดับกิเลส ก็คือ หนทางเดียว คือ การเจริญสติปัฏฐานต่อ ซึ่ง การได้วิปัสสนาญาณ ในแต่ละขั้น ก่อนถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็มีปัญญา ความรู้ชัดไปตามระดับของปัญญาในขั้นนั้น

แต่ เมื่อจะต้องดับกิเลสเพิ่มขึ้น ปัญญาก็ต้องรู้ชัดเพิ่มขึ้น ก็ต้องผ่านวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น จนถึงความเป็นพระสกทาคามี ที่จะต้องเป็นสกทาคามีมรรค และ สกทาคามีผล เพื่อถึงการดับกิเลส หรือ ทำกิเลสอย่างอื่นให้เบาบางต่อไป จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์

เพราะฉะนั้น ก็ต้องเจริญสติปัฏฐาน และ ถึงวิปัสสนาญาณอีก เพื่อเจริญปัญญาคมกล้าขึ้น เพราะ เพียงวิปัสสนาญาณที่ผ่านมา ก่อนเป็นพระโสดาบันยังไม่พอ ก็ต้องผ่านอีก แต่วิปัสสนาญาณที่เกิดนั้น ปัญญาก็คมกล้ามากขึ้น คือ มีความรู้ที่เกิดขึ้นมากกว่าวิปัสสนาญาณก่อนๆ ที่เคยเกิด ครับ และ เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องเจริญหนทางการดับกิเลส คือ สติปัฏฐาน และ วิปัสสนาญาณ

สมดังที่พระเถระทั้งหลายได้บรรลุพระอรหันต์ กล่าวว่า เราทำกิจเสร็จแล้ว คือ กิจ คือการดับกิเลสด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
rojer
วันที่ 13 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 13 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเป็นพระอริยบุคคลทุกขั้น เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องดำเนินตามหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลายคือ อริยมรรค มีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า มีคนบอกว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็นตามนั้น เพราะถ้าไม่มีปัญญา ไม่ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้องแล้ว ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลได้เลย

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้ง ยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์

ถ้าไม่ฟังไม่ศึกษาเลย ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลย เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ก็คือ ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ไตร่ตรองพิจารณาในเหตุในผลของธรรม ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะฟังพระธรรมส่วนไหน ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีจริงในขณะนี้จริงๆ

ปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้

เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ก็ไม่ควรลืมว่า ในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรม ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 13 ก.ย. 2555

ผู้ที่เจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน กิเลสที่ท่านละได้คือ ละวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ละความเห็นผิดทั้งหมด ละความตระหนี่

กิเลสที่ท่านละได้แล้วจะไม่หวนกลับมาอีกเลย ไม่ว่าท่านจะไปเกิดในภพไหนก็ตาม และที่สำคัญ กว่าจะได้วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยากที่สุด ต้องสะสมปัญญามาก คือ อาศัยกัลยาณมิตร แนะนำ การฟังมาก การพิจารณามาก ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ