ปฐมเจโตวิมุตติสูตร - ธรรมที่อำนวยผลให้บรรลุวิมุตติ - ๓o ก.ย. ๒๕๔๙

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 ก.ย. 2549
หมายเลข  2176
อ่าน  1,849

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

••• ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย •••

ทุกวันเสาร์ ขอเชิญร่วมรายการ

สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙

เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น.

ปฐมเจโตวิมุตติสูตร

ว่าด้วยธรรมที่อำนวยผลให้บรรลุวิมุตติ

จาก ..[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓- หน้าที่ 162

นำการสนทนาโดย..

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร

ขอเชิญท่านอ่านพระสูตรนี้ได้ในกรอบต่อไป ครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 24 ก.ย. 2549

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓- หน้าที่ 162

โยธาชีววรรคที่ ๓

ปฐมเจโตวิมุตติสูตร

ว่าด้วยธรรมที่อำนวยผลให้บรรลุวิมุตติ

[๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล และมีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ ย่อมมีปัญญาวิมุตติเป็นผล และมีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ ธรรม ๕ ประการ เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นว่าไม่งามในกาย ๑

ย่อมมีความสำคัญว่าเป็นของปฏิกูลในอาหาร ๑

ย่อมมีความสำคัญว่าไม่น่า ยินดีในโลกทั้งปวง ๑

ย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ๑

ย่อมเข้าไปตั้งมรณสัญญาไว้ในภายใน ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการ นี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล และมี เจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ ย่อมมีปัญญาวิมุตติเป็นผล และมีปัญญาวิมุตติเป็น ผลานิสงส์ เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เมื่อนั้น ภิกษุ นี้เรียกว่าเป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้ดังนี้บ้าง ว่าเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้ ดังนี้บ้าง ว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้ ดังนี้บ้าง ว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธงลงได้ ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะ ดังนี้บ้าง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละอวิชชาเสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็น เหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้อย่างนี้แล

ภิกษุเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละชาติสงสารที่เป็นเหตุนำให้เกิดในภพใหม่ต่อไปได้ ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้อย่างนี้แล

ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้อย่างไร คือ ภิกษุในธรรม วินัยนี้ เป็นผู้ละตัณหาเสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้อย่างนี้แล

ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนกลอนออกได้อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการเสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุ ชื่อว่า เป็นผู้ถอดกลอนออกได้อย่างนี้แล.

ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธงลงได้ ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละอัสมิมานะ เสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้ เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธง ลงได้ ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะใดๆ อย่างนี้แล

จบ ปฐมเจโตวิมุตติสูตรที่ ๑

โยธาชีววรรควรรณนาที่ ๓

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
study
วันที่ 24 ก.ย. 2549

อรรถกถา ปฐมเจโตวิมุตติสูตร

พึงทราบวินิจฉัยใน ปฐมเจโตวิมุตติสูตรที่ ๑ แห่งโยธาชีววรรค

ที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-

คำว่า ยโต โข ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่ม ณ บัดนี้ เพื่อทรงสรรเสริญภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัต ตามนัยที่ตรัสไว้แล้ว ณ หนหลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต โข แปลว่า กาลใดแล

บทว่า อุกฺขิตฺตปลีโฆ ได้แก่ ยกลิ่มสลักคืออวิชชาออกไปแล้ว

บทว่า สงฺกิณฺณปริกฺโข ได้แก่ รื้อคูคือสงสารวัฏให้ย่อยยับแล้ว.

บทว่า อพฺพุเฬฺหสิโก ได้แก่ ถอนเสาระเนียดคือตัณหาออกไปแล้ว

บทว่า นิรคฺคโฬ ได้แก่ ถอดบานประตูคือนิวรณ์ออกเสียแล้ว

บทว่า ปนฺนทฺธโช ปนฺนภาโร ได้แก่ ลดธงคือมานะ และภาระคือขันธ์ อภิสังขารและกิเลส ลงเสียแล้ว

บทว่า วิสยุตฺโต ได้แก่ หลุดพ้นจากวัฏฏะ. คำที่เหลือพึงทราบ ตามนัยแห่งพระบาลีนั่นแล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเวลาของพระขีณาสพ ผู้ทำกิเลสให้สิ้นไป ด้วยมรรคแล้ว ไปยังที่นอนอันดีคือนิโรธ เข้าผลสมาบัติมีพระนิพพานเป็น อารมณ์อยู่ด้วยพระดำรัสมีประมาณเท่านี้. เปรียบเหมือนนคร ๒ นคร นครหนึ่งคือโจรนคร นครหนึ่งคือเขมนคร ครั้งนั้น นักรบใหญ่ท่านหนึ่ง คิดว่า ตราบใด โจรนครยังตั้งอยู่ ตราบนั้น เขมนครก็ย่อมไม่พ้นภัย จำเรา จักทำโจรนคร ไม่ให้เป็นนคร แล้วจึงสวมเกราะถือพระขรรค์ [ศัสตราวุธ ๒ คม] เข้าไปยังโจรนคร เอาพระขรรค์ตัดเสาระเนียด ที่เขาตั้งไว้ใกล้ประตูนคร พังบานประตู พร้อมทั้งกรอบประตู ยกลิ่มสลักทำลายกำแพง รื้อค่ายคู ลดธง ที่เขายกขึ้นเพื่อความสง่างามแห่งนครลง แล้วเอาไฟเผานครเสีย เข้าไปสู่เขมนครขึ้นปราสาท มีหมู่ญาติห้อมล้อม บริโภคอาหารอันอเร็จอร่อย ข้ออุปมานี้ ฉันใด ข้ออุปมัย ก็ฉันนั้น สักกายะเหมือนโจรนคร พระนิพพาน เหมือนเขมนคร พระโยคาวจรเหมือนนักรบใหญ่ ท่านมีความคิดอย่างนี้ว่า ตราบใด สักกายะยังเป็นไปอยู่ ตราบนั้น ก็ไม่รอดพ้นจากกรรมกรณ์ ๓๒ โรค ๙๘ และมหาภัย ๒๕ ท่านจึงเป็นเหมือนนักรบใหญ่ สวมเกราะคือศีล ถือพระขรรค์คือปัญญา เอาพระอรหัตตมรรคตัดเสาระเนียดคือตัณหาเหมือน เอาพระขรรค์ตัดเสาระเนียด ถอดสลักคือสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ เหมือนนักรบ พังบานประตูนครพร้อมทั้งกรอบประตู ยกลิ่มสลักคืออวิชชา เหมือนนักรบ ยกลิ่มสลัก ทำลายอภิสังขารคือกรรม รื้อคูคือชาติสงสาร เหมือนนักรบทำลาย กำแพง รื้อค่ายดู ลดธงคือมานะ เหมือนนักรบลดธงที่เขายกขึ้นให้นครโจร สง่างามเสีย เผานครโจรคือสักกายะ แล้วเข้าสู่นครคือกิเลสปรินิพพาน เป็นที่ดับกิเลส เสวยสุขเกิดแต่ผลสมาบัติ อันมีอมตนิโรธเป็นอารมณ์ ยังเวลาให้ ล่วงไปๆ เหมือนนักรบเข้าไปในเขมนคร ขึ้นปราสาทชั้นบน บริโภคอาหาร อันอร่อย ฉะนั้น

จบ อรรถกถาปฐมเจโตวิมุตติสูตรที่ ๑

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 25 ก.ย. 2549
อนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Niranya
วันที่ 28 ก.ย. 2549

อนุโมทนาค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ สำหรับธรรมะดีๆ ทุกครั้งที่อ่านได้ความรู้ ทุกครั้งที่รู้ก็จะได้คิด ทุกครั้งที่คิดก็จะได้เข้าใจ ทุกครั้งที่เข้าใจก็จะได้เห็น ทุกครั้งที่เห็นก็จะแต่ความว่างของโลก ความเกิดขึ้นของสิ่งทั้งปวง และความดับไปของสิ่งทั้งปวง ไม่มีอะไรเป็นสาระ น่ายินดี เกี่ยวข้อง ธรรมะนี้ จึงควรให้เห็นบ่อยๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 17 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ