รายงานสดจากเมืองเชสกี ครุมลอฟ ไข่มุกแห่งโบฮีเมีย (19 ก.ย. 55)
รายงานสดจากเมืองเชสกี ครุมลอฟ ไข่มุกแห่งโบฮีเมีย (19 ก.ย. 55)
ออกจากปรากตอนแปดโมงครึ่ง เพื่อเดินทางไปเมืองเชสกี ครุมลอฟ เมืองมรดกโลก ที่รักษาศิลปะวัฒนธรรมในยุคกลางไว้อย่างดี เมืองนี้อยู่ห่างจากปรากไปทางใต้ 180 กม. ต้องนั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมง สองข้างทางเล็กๆ นั้น เป็นป่าไม้สวยงาม มีต้นไซเปรส และแอปเปิลออกลูกดกเต็มต้น แล่นผ่านร้านขายผลไม้ข้างทาง แวะลงไปซื้อและถ่ายรูป ถามคนขับรถว่า ระหว่างทางมีปราสาทสวยๆ ให้แวะชมไหม ก็ได้ชมปราสาท hluboka ซึ่งอยู่ข้างทาง ก่อนเข้าเมืองครึ่งชั่วโมง ปราสาทอยู่บนเขาระยะทาง 2 ก.ม. ต้องนั่งรถพ่วงขึ้นไปคนละ 50 โครูนา (คูณด้วย 1.7 เป็นเงินบาท)
ข้างบนปราสาทสวยมาก เพราะดูมีชีวิตชีวาด้วยสวนดอกไม้ที่ตบแต่งอย่างสวยงาม ไม่แห้งแล้งเหมือนปราสาทที่ปราก ที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้า และตบแต่งด้วยสีทอง ดูตระการตา เดินชมจนทั่วภายนอกปราสาท แต่ไม่ได้ชมข้างใน เพราะเขาปิดตอนเที่ยง เราไม่มีเวลาพอต้องรีบเข้าโรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเที่ยงซึ่งก็เลยเวลาไปมากแล้ว รถบัสต้องจอดข้างนอก แล้วนั่งแท๊กซีเข้ามาคันละ 100 โครูนา จอดหน้าโรงแรมพอดี เป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่ริมแม่น้ำวัลทาวาที่ไหลมาจากปราก แต่ผ่านเมืองนี้เป็นสายเล็กๆ เหมือนลำธาร แต่น้ำเชี่ยวไหลแรง และใสสะอาด ดูเหมือนไหลมาจากน้ำตกมากกว่า
ได้รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารริมแม่น้ำ เป็นสเต็ก ราคาถูกกว่าที่กรุงเทพอีกและยังอร่อยด้วย (ถ้าไม่อร่อย ก็แย่แล้ว เพราะเกือบบ่ายสี่โมงถึงได้รับประทาน)
เดินขึ้นเนินไปชม ปราสาทเชสสกี้ครุมลอฟ ข้างบน ท่านอาจารย์และผู้สูงวัยเดินชมเมืองเล็กๆ สวยงามที่มีของขายมากมาย ความจริงเราก็สูงวัย แถมยังปวดเข่าด้วย แต่ด้วยวิญญาณผู้รายงานข่าวภาคสนาม จึงต้องรีบไปดูให้เห็นกับตาว่า ของจริงเป็นอย่างไร ไปถึงปราสาทปิดแล้วตั้งแต่สี่โมงเย็น จึงได้แต่เดินดูรอบๆ มีจุดชมวิวให้เห็นเมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำด้านล่าง เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงสวนในปราสาท ที่ เปิดให้ชมฟรี โอ้โฮ พระจ้าจอร์ช! อะไรจะใหญ่โตสวยงามขนาดนี้ ไม่รู้จะบรรยายอย่าง-ไรถูก ดูจากภาพก็แล้วกัน เราวิ่งถ่ายรูปไปรอบๆ ลืมปวดเข่าไปชั่วขณะ เมื่อไปที่mazury โปแลนด์ ก็ว่าสวยแล้ว มาปราสาท ฮลูโบกา ก็คิดว่าสวยที่สุด พอมาถึง ปราสาท เชสกี้ครุมลอฟ กลับสวยยิ่งกว่า
นึกถึงเรื่องของท่านนันทะในพระสูตรที่จำได้เลาๆ ว่า ในวันแต่งงานของท่าน กับนางชนบทกัลยาณีที่สวยงามมากนั้น พระผู้มีพระภาคได้ให้ท่านถือบาตรเดินมาส่งแล้วให้บวช ท่านคิดถึงนางชนบทกัลยาณีมาก จนไม่ได้ปฏิบัติสมณธรรม พระผู้มีพระภาคจึงได้เนรมิตให้ท่าน เห็นนางฟ้าที่งามยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนท่านลืมนางชนบทกัลยาณี แล้วยินดีปฏิบัติสมณธรรม เพื่อให้ได้หญิงที่งามเช่นนั้น แต่ในที่สุดด้วยปัญญาบารมีที่ได้สะสมมา ท่านก็เห็นตามตวามเป็นจริงของสภาพธรรมทั้งหลายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา จนหมดจดจากอาสวะทั้งปวง ไม่ติดข้องในสิ่งใดๆ อีกเลย
ส่วนเราผู้ยังมืดหนาด้วยกิเลส ยิ่งได้เห็นสวนดอกไม้ที่สวยขึ้นๆ สวยขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งติดข้อง อยากจะเห็นต่อไปอีกเรื่อยๆ เหมือนกองไฟได้เชื้อ แทนที่จะมอด กลับกองใหญ่ขึ้น ปัญญาที่มีบ้างเล็กน้อยก็หายไป ลืมไปเลยว่า ทุกอย่างเป็นธรรมเพียงปรากฏแล้วก็หมดไป เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเพื่อติดข้องเท่านั้นเอง ไม่เห็นฝั่งโน้นของมหาสมุทรเลย เห็นแต่ฝั่งนี้ ที่มีแต่ความติดข้องต้องการ จนเกือบจะรู้สึกถึงความร้อนด้วยความอยาก ที่ต้องแสวงหาไม่หยุดหย่อน แต่ก็เพียงเกือบ ยังไม่ร้อนจริงๆ ค่ะ
เมื่อเย็นนี้ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อของที่ร้านเซเว่นฯปากซอย เมื่อจอดรถ เห็นโรตีรถเข็นที่แขกหนุ่มจากอินเดียจอดขายอยู่ เป็นเจ้าประจำ ที่น้องตอง ลูกสาวคนสุดท้องบอกพ่อว่าชอบ และ อร่อยกว่าเจ้าอื่นๆ ที่เคยซื้อ จึงสั่งไปฝากลูก ขณะที่ยืนรอ ก็คิดพิจารณาว่า พ่อหนุ่มคนนี้ เดินทางมาแสนไกล มาหาสิ่งใดที่นี่กันเล่า? "เห็น" ที่ถนนสายไหมนี้ จะต่างอะไรกับ "เห็น" ที่บ้านของเธอหรือ? แม้เราเอง ทุกวันๆ ก็เป็นผู้แสวงหาทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อยู่ตลอดเวลา แล้วอะไร? ที่ทำให้บุคคลต่างกัน ถ้าไม่ใช่ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก ในความเป็นจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ อยู่ทุกๆ ขณะนี้ ที่เข้าใจมั่นคงขึ้น ว่าหาใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ใดไม่ เป็นแต่เพียง "เห็น" เกิดขึ้นแล้วดับไป เท่านั้น "เรา" อยู่ที่ไหน?
ความเข้าใจจากการฟัง และ ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมเป็นกำลัง ให้เกิดความละคลายจากอกุศลธรรมทั้งหลาย แม้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน ให้ได้เห็นความเป็นจริงว่า การเดินในหนทางที่ถูก ตามที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง ไม่ง่ายเลย และ เป็นหนทางที่ยาวนานยิ่ง แต่เป็นผู้ที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว จากความเข้าใจถูกต้อง ในหนทาง ที่ได้ทรงแสดงไว้ "มีชีวิตอยู่ ด้วยปัญญา"
กราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่แดงครับ
ความเข้าใจจากการฟัง และ ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมเป็นกำลัง ให้เกิดความละคลายจากอกุศลธรรมทั้งหลาย แม้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน ให้ได้เห็นความเป็นจริงว่า การเดินในหนทางที่ถูก ตามที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง ไม่ง่ายเลย และ เป็นหนทางที่ยาวนานยิ่ง แต่เป็นผู้ที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว จากความเข้าใจถูกต้อง ในหนทาง ที่ได้ทรงแสดงไว้ "มีชีวิตอยู่ ด้วยปัญญา"
... กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตพี่แดง และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ ... และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ผู้ที่มั่นคงในหนทาง ไม่หวั่นไหวแม้ในหนทาง ที่ยาวไกลตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - น้าที่ 416
๙. ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌาน ประเสริฐกว่า (ความเป็นอยู่ของผู้นั้น)
๑๐. ก็ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจตั้งมั่น พึงเป็น อยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีปัญญา มี ฌาน ประเสริฐกว่า (ความเป็นอยู่ของผู้นั้น)
๑๑. ก็ผู้ใดเกียจคร้านมีความเพียรอันทราม พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของท่านผู้ ปรารภความเพียรมั่น ประเสริฐกว่าชีวิตของผู้นั้น.
๑๒. ก็ผู้ใดไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม อยู่ พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของ ผู้เห็นความเกิดและความเสื่อม ประเสริฐกว่า ความเป็นอยู่ของผู้นั้น.
๑๓. ก็ผู้ใดไม่เห็นบทอันไม่ตาย (พระนิพพาน) พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นบทอันไม่ ตาย ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น.
๑๔. ผู้ใดไม่เห็นธรรมอันยอดเยี่ยม พึงเป็น อยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นธรรม อันยอดเยี่ยม ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น.
จบสหัสสวรรคที่ ๘.