ความอยู่ผาสุกของภิกษุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 20] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 395
ความอยู่ผาสุกของภิกษุ
[๑๙๙] ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุ
ชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดำรงอยู่ในอรหัตตผล
ก็ท่านนั้นเป็นผู้อันภิกษุนั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า ท่านนั้นเป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง
ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้บ้าง
ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
ภิกษุนั้นเมื่อระลึกถึง ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และ ปัญญา ของภิกษุนั้น
จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย
ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ แม้ด้วยประการฉะนี้แล.
ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุชื่อนี้ทำกาละแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า เป็นผู้ผุดเกิดขึ้น จักปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าสิ้นไป
ก็ท่านนั้นเป็นผู้อันภิกษุนั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า ท่านนั้นเป็น
ผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีปัญญา
อย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้พ้นวิเศษ
แล้วอย่างนี้บ้าง ภิกษุนั้นเมื่อระลึกถึง ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และ ปัญญา
ของภิกษุนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง.
ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ความอยู่สุขสำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ แม้ด้วย
ประการฉะนี้แล ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุ
ชื่อนี้ทำกาละแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระสกทาคามี
จักมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป
และเพราะราคะ โทสะ และโมหะ เบาบาง ก็ท่านนั้นเป็นผู้อันภิกษุนั้นได้
เห็นเอง หรือได้ยินมาว่า ท่านนั้นเป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มี
ธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีวิหาร-
ธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง ภิกษุนั้นเมื่อระลึก
ถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของภิกษุนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อ
ความเป็นอย่างนั้นบ้าง ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่
ภิกษุ แม้ด้วยประการฉะนี้แล ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ได้ฟังว่า ภิกษุชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า เป็น
พระโสดาบันมีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้เป็น
เบื้องหน้า เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป ถ้าท่านนั้นเป็นผู้อันภิกษุนั้นได้เห็นเอง
หรือได้ยินมาว่า
ท่านนั้นเป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีธรรมอย่างนี้บ้าง
ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง
ภิกษุนั้นเมื่อระลึกถึง ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และ ปัญญา ของภิกษุนั้น
จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง
ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย
ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ แม้ด้วยประการฉะนี้แล.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากพระสูตรนี้ แสดงถึง ความอยู่ผาสุกได้ ก็ด้วยการระลึกถึงคุณความดีของผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็น ศรัทธา ศีล ปัญญา เป็นต้น ที่เป็นคุณงามความดีของผู้อื่น ระลึกด้วยจิต
ที่เป็นกุศล มีการชื่นชมยินดี ด้วยจิตกุศล เป็นต้น แต่ไม่ใช่เพื่อความอยากได้ผลอย่าง
นั้น ขณะที่จิตเป็นกุศลในขณะนั้น ชื่อว่า ย่อมอยู่ด้วยความผาสุก เพราะ กุศลนำมาซึ่ง
ความสุข ไม่มีโทษอะไรเลย เพราะฉะนั้น ความอยู่ผาสุก ก็เป็นไปในชีวิตประจำวัน คือ
ขณะใดที่กุศลเกิดก็อยู่ผาสุกในขณะนั้น แต่ แม้กุศลนั้นก็ไม่เที่ยงเกิดขึ้นและดับไป
จึงยังไม่ใช่ความผาสุกที่แท้จริง จนกว่าจะดับกิเลสหมดสิ้น ไม่มีกิเลสที่ทำให้ทุกข์
และ ไม่มีการเกิดอีกเลย ชื่อว่าผาสุกอย่างแท้จริง ครับ
ขออนุโมทนาคุณหมอและทุกท่าน มา ณ ที่นี้ครับ
อนุโมทนาและขอบคุณ คุณผเดิมมากครับ
ขอชื่นชมที่ให้ความรู้และความผาสุขกับผมและทุกคนครับ