ปฐมเสขสูตร.. โยนิโสมนสิการได้บรรลุผลสูงสุด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจาก
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 115
๖. ปฐมเสขสูตร
ว่าด้วยโยนิโสมนสิการได้บรรลุผลสูงสุด
[๑๙๔] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้เป็นเสขะยังไม่บรรลุอรหัตตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมอยู่ เราไม่พิจารณาเห็นแม้เหตุอันหนึ่ง อย่างอื่น กระทำเหตุที่มี ณ ภายในว่ามีอุปการะมาก เหมือนโยนิโสมนสิการ นี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมนสิการโดยแยบคาย ย่อมละอกุศลเสียได้ ย่อมเจริญกุศลให้เกิดมี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ธรรมอย่างอื่นอันมีอุปการะมาก เพื่อบรรลุประโยชน์อันสูงสุด แห่งภิกษุผู้เป็นพระเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการ ไม่มีเลย ภิกษุเริ่มตั้งไว้ซึ่งมนสิการโดยแยบคาย พึงบรรลุนิพพานอันเป็นที่สิ้นไป แห่งทุกข์ได้
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าได้ สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบ ปฐมเสขสูตรที่ ๖
อรรถกถาปฐมเสขสูตร
ในปฐมเสขสูตรพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
คำว่า เสกฺโข ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ มีความว่าอย่างไร. ชื่อว่า เสกขะ เพราะได้เสกขธรรม. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยเหตุ เพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ประกอบด้วยทิฏฐิอัน เป็นเสกขะ ฯลฯ ประกอบด้วยสมาธิอันเป็นเสกขะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วย เหตุเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เสกขะ เพราะ ยังต้องศึกษา. แม้ข้อนี้ก็ตรัสไว้ว่า สิกฺขตีติ โข ภิกฺขเว ตสิมา เสกฺโขติ วุจฺจจิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุยังต้องศึกษา ฉะนั้นจึงเรียกว่า เสกขะ ถามว่า ศึกษาอะไร. ตอบว่า ศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง เพราะยังต้องศึกษา ดังนี้แล ฉะนั้นจึงเรียกว่าเสกขะ แม้ผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชน กระทำให้บริบูรณ์ด้วยอนุโลมปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารใน อินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรโดยไม่เห็นแก่ นอนมากนัก ประกอบความเพียรด้วยการเจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดราตรีต้น ราตรีปลาย ด้วยหวังว่า เราจักบรรลุ สามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวันนี้ หรือในวันพรุ่งนี้ ท่านก็เรียกว่า เสกขะ เพราะยังต้องศึกษา ในข้อนี้ท่าน ประโยคสงค์เอาพระเสขะผู้ยังไม่แทงตลอด ที่แท้ก็เป็นกัลยาณปุถุชน.
ชื่อว่า อปฺปตฺตมานโส เพราะอรรถว่า ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ท่านกล่าวราคะว่าเป็นมานสะ ในบทนี้ว่า
บทว่า มานสํ ได้แก่ราคะเที่ยวไปดุจตาข่ายลอยอยู่บนอากาศ. ได้แก่ จิต ในบทนี้ว่า จิต มนะ ชื่อว่า มานสะ ได้แก่ พระอรหัตในบทนี้ว่า พระเสกขะ ยังไม่บรรลุพระอรหัต พึงทำกาละ ในหมู่ชน ในสูตรนี้ท่านประสงค์เอาพระอรหัตอย่างเดียว ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นอันกล่าวได้ว่า อปฺปตฺตารหตฺตสฺส แปลว่า ยังไม่บรรลุพระอรหัต
บทว่า อนุตฺตรํ คือ ประเสริฐที่สุด อธิบาย ว่า ไม่มีเหมือน ชื่อว่า โยคกฺเขมํ ทีเดียว.
บทว่า ปฏฺฐยมานสฺส ได้แก่ ความปรารถนาสองอย่าง คือ
ตณฺหาปฏฺฐนา (ความปรารถนาด้วยตัณหา) ๑
ฉนฺทปฏฺฐนา (ความปรารถนาด้วยความพอใจ) ๑.
ตณฺหาปฏฺฐนา ได้ในบทนี้ว่า ปรารถนา กระซิบกระซาบถึงตัณหา หรือ บ่นถึงแต่ในการประดับตกแต่ง กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทปฏฺฐนา ปรารถนาความพอใจในกุศล ใคร่จะทำได้ในบทนี้ว่า
กระแสตัณหาของคนลามก ถูกตัดแล้ว ถูกกำจัดแล้ว ถูกทำให้หมดมานะแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเป็นผู้มากไปด้วยความปราโมทย์เถิด จงปรารถนาความเกษมเถิด.
ในที่นี้ท่านประสงค์เอา ฉันทปัฏฐนานี้แล. ด้วยเหตุนั้น บทว่า ปตฺถยมานสฺส จึงมีอธิบายว่า เป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำความเกษมจากโยคะนั้น คือ น้อม โน้ม โอน ไปสู่ความเกษมนั้น.
บทว่า วิหรโต ได้แก่ตัดขาดทุกข์ในอิริยาบถหนึ่ง ด้วยอิริยาบถหนึ่ง แล้วนำอัตภาพอันยังไม่ตกไป. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความในบทนี้โดยนิเทศนัย (ชี้แจ้ง) มีอาทิว่า ภิกษุน้อมไปอยู่ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ย่อมอยู่ด้วยศรัทธา.
บทว่า อชฺฌตฺติกํ ได้แก่ มีอยู่ในภายใน คือ ภายในตน ชื่อว่า อัชฌัตติกะ
บทว่า องฺคํ ได้แก่เหตุ
บทว่า อิติ กริตฺวา คือ ทำอย่างนี้ ความย่อในบทนี้ว่า น อญฺญํ เอกงฺคมฺปิ สมนุปสฺสามิ นี้มีดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นแม้เหตุหนึ่งอย่างอื่น กระทำเหตุอันมี ในภายใน คือ เหตุที่ตั้งอยู่ในสันดานของตนอย่างนี้.
บทว่า เอวํ พหุปการํ ยถยิทํ โยนิโสมนสิกาโร ได้แก่ มนสิการโดยอุบาย มนสิการโดยคลองธรรม มนสิการโดยนัยในอนิจจลักษณะเป็นต้นว่า เป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น หรือการ พิจารณา การตามพิจารณา การรำพึง การใคร่ครวญ การใส่ใจ อนุโลมใน ของไม่เที่ยงนี้ ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ. บัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงอานุภาพแห่งโยนิโสมนสิการ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมนสิการอยู่โดยแยบคาย ย่อมละอกุศล ย่อมเจริญกุศล ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โยนิโส มนสิกโรนฺโต ความว่า ยังโยนิโสมนสิการ ให้เป็นไปในอริยสัจ ๔ ว่า นี้ ทุกขอริยสัจ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ดังนี้. ต่อไปนี้เป็นความอธิบายอย่างแจ่มแจ้งในอริยสัจ ๔ นั้น. พระสูตรนี้ หมายเอาเสกขบุคคลโดยไม่แปลกกันโดยแท้.
แต่เราจักกล่าวกรรมฐานด้วยสามารถมรรค ๔ ผล ๔ โดยทั่วไป โดยสังเขป พระโยคาวจรใดผู้บำเพ็ญกรรมฐาน คือ อริยสัจ ๔ เป็นผู้บำเพ็ญกรรมฐาน คือ อริยสัจ ๔ ในสำนักอาจารย์มาก่อน อย่างนี้ว่า ขันธ์ทั้งหลายอันเป็นไปในภูมิ ๓ มีตัณหา เป็นโทษ เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความไม่เป็นไปของทั้งสองนั้นเป็นความดับทุกข์ การให้ถึงความดับทุกข์ เป็นมรรค ดังนี้ สมัยต่อมา พระโยคาวจรนั้นขึ้นสู่ วิปัสสนามรรค ย่อมพิจารณาขันธ์อันเป็นไปในภูมิ ๓ โดยแยบคายว่า นี้ทุกข์ คือ พิจารณาและเห็นแจ้งโดยอุบาย คือ โดยคลองธรรม. ความจริง ในสูตรนี้ ท่านกล่าวถึงวิปัสสนาด้วยหัวข้อมนสิการ. พระโยคาวจรย่อมมนสิการโดย แยบคายว่า ตัณหา มีในภพก่อนอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้น ชื่อว่า ทุกขสมุทัย. ย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า ก็เพราะนี้ทุกข์ นี้สมุทัย ทุกข์ทั้งหลายถึง ฐานะนี้แล้ว ย่อมดับ ย่อมไม่เป็นไป ฉะนั้นจึงถือว่า นิพพานนี้คือ ทุกขนิโรธ. พระโยคาวจร ย่อมมนสิการโดยแยบคาย ย่อมพิจารณาและย่อมเห็นแจ้งมรรค มีองค์ ๘ อันทำให้ถึงความดับทุกข์โดยอุบายโดยคลองว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ในข้อนั้น ชื่อว่ายึดมั่นโดยอุบายนี้ย่อมมีในขันธ์ ๕ ไม่มีในนิพพาน. เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายดังต่อไปนี้. พระโยคาวจร ยึด มหาภูตรูป ๔ โดยนัย มีอาทิว่า ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ มีอยู่ในกายนี้ และ อุปาทารูป โดยทำนอง เดียวกับมหาภูตรูป ๔ นั้น แล้วกำหนดว่า นี้รูปขันธ์ ดังนี้. เมื่อให้กำหนด ดังนั้น จึงกำหนดถึงธรรม คือ จิตและเจตสิก อันมีรูปขันธ์นั้นเป็นอารมณ์ว่า ธรรมเหล่านี้คือ อรูปขันธ์ ๔. จากนั้นย่อมกำหนดว่า ขันธ์ ๕ เหล่านี้เป็นทุกข์. ก็ขันธ์ เหล่านั้นโดยย่อมีสองส่วน คือ นามและรูป. พระโยคาวจรย่อมกำหนด เหตุและปัจจัยว่า ก็นามรูปนี้ มีเหตุ มีปัจจัย จึงเกิดขึ้น อวิชชา ภพตัณหาเป็นต้น นี้ เป็นเหตุของนามรูปนั้น อาหารเป็นต้นเป็นปัจจัยของนามรูปนั้น. พระโยคาวจรนั้น กำหนดลักษณะพร้อมด้วยกิจรสของปัจจัยทั้งหลายเหล่านั้น และธรรม ที่เกิดโดยปัจจัย ตามความเป็นจริงแล้ว ยกขึ้นสู่อนิจจลักษณะว่า ธรรมทั้งหลาย เหล่านี้ไม่มีแล้ว ครั้นมีแล้วย่อมดับไป เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายจึงไม่เที่ยง. ย่อมยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะว่า ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิด ความเสื่อม เบียดเบียน. ย่อมยกขึ้นสู่อนัตตลักษณะว่า ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า เป็นอนันตตา เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ. พระโยคาวจรครั้นยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ อย่างนี้แล้ว เห็นแจ้งอยู่กำหนดทางและมิใช่ทางว่า เมื่อวิปัสสนูปกิเลสมีแสงสว่าง เป็นต้นเกิดขึ้นในขณะอุทยัพพยญาณเกิด นี้ไม่ใช่ทาง อุทยัพพยญาณเท่านั้น เป็นอุบาย คือเป็นทางอันเป็นส่วนเบื้องต้นของอริยมรรคแล้ว ยังอุทยัพพยญาณ และภังคญาณเป็นต้นให้เกิดขึ้นตามลำดับ ย่อมบรรลุโสดาปัตติมรรคเป็นต้น. ในขณะนั้นพระโยคาวจรย่อมแทงตลอดอริยสัจ ๔ โดยการแทงตลอดครั้ง เดียวเท่านั้น ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้ครั้งเดียว. ในอริยสัจนั้นพระโยคาวจร ย่อมแทงตลอดทุกข์ด้วยการแทงตลอดด้วยกำหนดรู้ ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้ ครั้งเดียว. ในอริยสัจนั้น พระโยคาวจร แทงตลอดทุกข์ด้วยการแทงตลอดด้วย กำหนดรู้ แทงตลอดสมุทัยโดยแยบคายด้วยการแทงตลอดด้วยการละ ย่อมละ อกุศลทั้งปวงได้. พระโยคาวจรแทงตลอดนิโรธโดยการตรัสรู้ด้วยการทำให้แจ้ง แทงตลอดมรรคโดยการตรัสรู้ด้วยภาวนา ย่อมเจริญกุศลทั้งปวง. จริงอยู่ อริยมรรคชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่ากำจัดสิ่งที่น่าเกลียดโดยตรง ก็เมื่อเจริญอริย มรรคแล้ว โพธิปักขิยธรรมอันหาโทษมิได้ เป็นกุศลแม้ทั้งหมดก็ย่อมถึงความ บริบูรณ์ด้วยภาวนา เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรเมื่อมนสิการโดยแยบคายอย่างนี้ ย่อมละอกุศลเสียได้ ย่อมเจริญธรรมที่เป็นกุศล. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเป็นอาทิว่า พระโยคาวจรย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกข์สมุทัย ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแม้ข้ออื่นอีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อ ภิกษุถึงพร้อมแล้วด้วยโยนิโสมนสิการ ภิกษุจักเจริญมรรคองค์ ๘ อันเป็น อริยะที่จะพึงหวังได้ จักทำให้มากซึ่งมรรคมีองค์ ๘ อัน เป็นอริยะ ดังนี้. ต่อไปนี้เป็นความย่อแห่งคาถาว่า โยนิโส มนสิกาโร. ชื่อว่า เสกขะ เพราะยังต้องศึกษาสิกขาบททั้งหลาย หรือเพราะยังมีการศึกษาอยู่เป็นปกติ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะเห็นภัยในสงสาร. ธรรมไรๆ อื่นที่มีอุปการะมาก เหมือนอย่างโยนิโสมนสิการ เพื่อให้ภิกษุผู้ยังเป็นเสกขะนั้นบรรลุพระอรหัต อัน มีประโยชน์อย่างสูงสุด ย่อมไม่มี.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะ พระโยคาวจรมุ่งมนสิการ โดยอุบายอันแยบคาย แล้วเริ่มตั้งความเพียรด้วย สัมมัปปธาน ๔ อย่าง พึงถึงความสิ้นทุกข์ได้ คือ พึงถึง พึงบรรลุพระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นสุดวัฏทุกข์อันเศร้าหมองสิ้นเชิง ฉะนั้น โยนิโสมนสิการ จึงเป็นธรรมมีอุปการะมาก ดังนี้.
จบ อรรถกถาปฐมเสกขสูตรที่ ๖