ถ้าเราติด อรูปาวจรภูมิ จะมีวิธีแก้ยังไง?
จิตปล่อยจากรูปอันเป็นส่วนรูปารมณ์นั้นแล้ว แต่ยึดถือในส่วนอารมณ์ที่ละเอียดอันเป็นประเภทแห่งนามธรรม เป็นต้นว่า อากาสานัญจายตนฌานคือ ความเพ่งในที่ว่างๆ โล่งๆ รู้ๆ อยู่ว่าไม่มีรูปใดรูปหนึ่งผ่านเข้ามาปรากฏ ฉะนั้นจึงไม่สามารถรู้ได้ทั่วถึง เป็นแต่เข้าไปรู้หลบตัวอยู่ภายใน ไม่ใช่เข้าไปรู้อยู่ด้วยทำงานสำเร็จ เข้าไปรู้อยู่ด้วยอาการหลบหลีก คือ เห็นแก่โทษที่เกิดขึ้นแต่ส่วนภายนอก ไม่เห็นว่าโทษนั้นฝังอยู่ภายใน จึงเข้าไปหลบอยู่ทำความรู้ แต่ส่วนตัวก็สำคัญว่าตนหมดกิเลส เหมือนความรู้ที่ไม่จริงนั้นสักแต่ว่ารู้ แต่ละไม่ได้
เจอแบบนี้จะหาอุบายอะไร มาพลิกแพลง แก้ใขกิเลสตัวนี้ได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หากเจอเหตุการณ์เหล่านี้ ให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ คือ เริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะ สิ่งใดที่ทำไปด้วยความไม่รู้ โดยเฉพาะไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร ได้แต่ความนิ่ง ความสงบ ก็ไม่เป็นไปเพื่อการละกิเลส แต่กลับเพิ่มกิเลส คือ ความสงสัย ความไม่รู้มากขึ้น ครับ
สำคัญที่ว่าการกระทำอะไรก็ตาม ทำแล้ว รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ หรือไม่ หากทำแล้ว ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ และก็ต้องวนเวียนไปในวัฏฏะ
เพราะฉะนั้น การอบรมปัญญาจึงไม่ได้เริ่มจากการเจริญฌาน แต่เริ่มจากความเข้าใจขั้นการฟังว่า ขณะนี้ ธรรม คือ อะไร ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อเข้าใจ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดการปฏิบัติ คือ สติและปัญญาเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ นี่คือ ปฏิบัติ ในพระพุทธศาสนา ที่จะถึงการดับกิเลส คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นสำคัญ
อุบาย ที่ถูกคือ อุบายที่จะทำให้เกิดปัญญา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่ใช่การปฏิบัติ การนั่งสมาธิให้ได้ฌานแล้วทำให้เกิดความสงสัย ความไม่รู้ ครับ
เพราะฉะนั้นแทนที่จะหาอุบาย ก็ควรแสวงหาความเข้าใจพระธรรมเป็นสำคัญ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่สุด คือ การเริ่มต้น พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่จะสอนให้เห็นผิด สอนให้ติดข้อง สอนให้ไม่รู้ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
ดังนั้น เมื่อยังไม่ได้เข้าใจ ก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ควรไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความจดจ้องต้องการ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ ก็หมายความว่าเป็นการสะสมกิเลส มีความเห็นผิด ความติดข้อง และ ความไม่รู้ เพิ่มมากยิ่งขึ้น
การฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ทำให้มีความมั่นคงในเหตุในผลของธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้งได้จริงๆ ว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง
ยังมีพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะเป็นโอกาสที่สำคัญที่ผู้เห็นประโยชน์จะได้ฟัง ได้ศึกษา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น พระธรรมทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดง ก็เป็นไปเพื่อความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริง โดยตลอด ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...