พบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ผู้ที่มากด้วยโทสะ ซึ่งแต่ละท่านก็ต้องพิจารณาตนเอง ว่าเป็น ผู้ที่มักโกรธ ขุ่นเคือง เดือดร้อนใจบ่อยๆ หรือว่าผูกโกรธใครไว้บ้าง ก็จะได้พิจารณาตามความเป็นจริง แท้ที่จริงหามีบุคคลนั้นไม่ จะมีบุคคลนั้นก็เพียงชั่วชาติเดียวที่ท่านพบเท่านั้นเอง หลังจากนั้นแล้วไม่มีอีกเลย เพราะฉะนั้น จะโกรธหลังจากบุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ควรหรือใม่ควร ในเมื่อไม่มีบุคคลนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีบุคคลนั้นให้เห็น ก็อาจจะทำให้ท่านนึกโกรธ หรือ ผูกโกรธ แต่ถ้าคิดได้ว่า บุคคลนั้นจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นาน แล้วก็จะจากไปโดยสิ้นเชิง จะไม่มีบุคคลนั้นอีกเลย ควรจะโกรธบุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วหรือไม่ ถ้าไม่ควร แม้ในขณะนี้เองก็เป็นเพียงชั่วขณะที่ นามธรรม และ รูปธรรม เกิด ดับ เท่านั้น ไม่นานเลย
เพราะฉะนั้นถ้าใครเป็นผู้มักโกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจบุคคลอื่นง่ายๆ หรือว่าไม่ลืม ความโกรธ ความขุ่นเคืองนั้น ก็ควรที่จะระลึกรู้ความจริงว่า พบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียวจริงๆ แล้วจะไม่พบกันอีกเลย เพราะฉะนั้น ควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือว่าควรจะโกรธกัน
เพราะว่า การเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า จะเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่า อาจเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย
ก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน แล้วมีความเมตตากรุณาต่อกัน
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า แมัแต่โลภะเป็นข้าศึกใกล้ของเมตตา ก็เพื่อประโยชน์ คือ ให้ปฏิบัติ ให้สังเกต ให้พิจารณา เพื่อที่จะละคลาย เหตุแห่งทุกข์ให้ลดน้อยลง เพราะว่า ถ้าไม่รู้ ทุกคนก็เข้าใจว่า เมตตา แต่ความจริงเป็น โลภะ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งก็ต้องเป็นทุกข์เพราะโลภะ แต่ถ้ารู้ว่า โลภะ กับ เมตตา มีลักษณะที่ต่างกัน กุศลจิตก็ย่อมจะจริญขึ้นโดยคลาย ความติด ความเสน่หา หรือ โลภะ จนกระทั่งแม้สิ่งนั้น จะมีอันเป็นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ขึ้นได้
นั่นคือลักษณะของเมตตาจริงๆ
ข้อความในอรรถกถา มีว่า
การเจริญขึ้นของเมตตานั้นเริ่มด้วย
"กัตตุกัมมะยะตา ฉันทะ" คือความพอใจที่จะอบรมเจริญ เมตตา
นี่เป็นขั้นต้นค่ะ เพราะว่า ทุกคนทราบว่า อโทสะ ก็เป็นโสภณธรรม เมตตาต่อสัตว์ บุคคลทั้งหลาย ก็เป็นธรรมฝ่ายดี แต่ว่าทำอย่างไรจึงจะมีเมตตาเพิ่มขึ้นมากๆ เพราะว่าถ้ายังโกรธใครอยู่ ก็แสดงว่า ขณะนั้นขาดเมตตา เพราะว่า ถ้ายังโกรธ ชื่อว่า เมตตา เกิดไม่ได้ เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้าม
เพราะฉะนั้น การที่เมตตาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องเริ่มด้วย "กัตตุกัมมะยะตา ฉันทะ"
ความพอใจที่จะอบรมเจริญเมตตา
เมื่อได้ฟังพระธรรมมามากแล้ว ก็เป็นผู้ที่น้อมประพฤติ ปฏิบัติตาม โดยเฉพาะในเรื่องของ เมตตา ถ้าอบรมเจริญแล้วก็ไม่ยากเลยที่จะมีความเป็นมิตรกับทุกคน แล้วก็อภัยให้ในสิ่งซึ่งอาจจะขาดตกบกพร่องของบุคคลอื่น แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีฉันทะ มีความพอใจที่จะอบรมเจริญเมตตา ก็อาจจะ ขัดหู ขัดตา หรือว่า ขุ่นเคือง ไม่พอใจใน สัตว์ บุคคลทั้งหลายได้
เพราะว่าถ้ายังโกรธ ชื่อว่า เมตตา เกิดไม่ได้
ก็ต้องเริ่มด้วย "กัตตุกัมมะยะตา ฉันทะ"
ความพอใจที่จะอบรมเจริญเมตตา
เป็นข้อเตือนสติที่ควรแก่ชีวิตประจำวันจริงๆ ครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอและทุกท่านครับ
กราบขอบพระคุณ และ กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ ครับ
และ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผู้ร่วมเดินทาง, คุณวันชัย, คุณbsomsuda และทุกท่านครับ