จริงๆ แล้วไม่มีสัตว์หรือบุคคลเวียนว่ายตายเกิดใช่มั้ยครับ

 
ผู้ยังไม่พ้น
วันที่  4 ต.ค. 2555
หมายเลข  21839
อ่าน  5,030

ตอบตามความเข้าใจจากที่ได้ศึกษามานะครับ
(อาจผิดก็ได้ อย่าเชื่อนะครับ)

ผมเข้าใจว่า "สัตว์ หรือ สัตตานัง"
คือชื่อเรียกของ "สภาพความเป็นตัวเป็นตน" ที่เกิดขึ้นมาซ้ำๆ
เที่ยวเวียนว่าย สลาย-สร้าง อยู่เรื่อยๆ
ซึ่งถ้าแยกย่อยลงไปจริงๆ แล้ว สภาพเป็นตัวเป็นตนนั้นมิได้มี
สภาพดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการทำงานอันสลับซับซ้อนของขันธ์ ๕ คือ

รูป (ร่างกาย)
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ
สภาพเหล่านี้ ทำให้เกิดความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเรียกว่า สัตตานัง

อุปมาสมมติเล่นๆ ครับ
ถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง (มีรูปแล้วเพราะมีเครื่อง)
ถ้าทำให้มันรู้เจ็บปวดได้ รู้ทุกข์ รู้สุขได้
ทำให้มันมีความจำได้หมายรู้ รู้ว่านี้อะไร นี้เจ้านาย นี้ใคร ฯลฯ
ทำให้มันคิดได้ ปรุงแต่งได้เอง
ทำให้มันรับรู้แสง รับรู้เสียง รับรู้กลิ่น รับรู้สัมผัส รับรู้รส รับรู้ความคิดของตัวเอง

จนมันมีสภาพเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
จนมันคิดเองได้ จำได้ ระลึกได้ รู้สึกเองได้
เศร้าได้ ทุกข์ได้ ดีใจได้
(ชาวบ้านเรียกว่ามีชีวิตจิตใจ) รู้สึกถึงความมีตัวตน
รู้สึกว่าเครื่องนี้คือเรา
รู้สึกว่าเรามีเครื่องนี้
รู้สึกว่าในเครื่องนี้มีเรา
รู้สึกว่าในเรามีกายเครื่องนี้
รู้สึกว่าใน เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ คือเรา
รู้สึกว่าเรามี เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ
รู้สึกว่าใน เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ มีเรา
รู้สึกว่าเรามีอยู่ใน เวทนา/สัญญา/สังขาร/วิญญาณ
ฯลฯ

สัตตานัง ก็คล้ายๆ อย่างนี้ครับ
เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของสภาพรวมของกลุ่มก้อนต่่างๆ ทำให้มีความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
แต่น่าจะซับซ้อนกว่านี้มากครับ
เพราะกลุ่มก้อนขันธ์ ๕ นี้
เมื่อแตกทำลายหรือตายลง
ยังเหนี่ยวนำให้เกิดกลุ่มก้อนขันธ์ ๕ ขึ้นใหม่ (เกิดใหม่)
โดยตัวที่เป็นเชื้อชนวนก็คือจิตจากขันธ์ ๕ กองเก่า
นั้นเองครับ
และยังมีการสืบต่อของ "ชุดข้อมูล" บางส่วนอีกด้วย
ระหว่างขันธ์เก่าๆ และขันธ์ใหม่

(เช่นขันธ์ใหม่ ยังต้องรับผลกรรม ที่ขันธ์เก่าเคยทำไว้)
(เช่นขันธ์ใหม่ ยังคงมีลักษณะอุปนิสัย หรือที่เรียกว่าวาสนาบางอย่าง ของขันธ์เก่าๆ ติดมาด้วย ยกเว้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งละวาสนาได้ขาด)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริงมีแต่สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ที่เป็นขันธ์ ๕ ไม่มีสัตว์ บุคคล แต่กล่าวโดยสมมติ เพื่อเรียกให้รู้ว่าเป็นใคร เป็นบุคคลใด เพราะฉะนั้นอะไรที่เกิด ... จิต เจตสิก รูป เกิด ขณะที่เกิด คือ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด และขณะที่ตาย คือ ขณะที่จุติเกิด ไม่มีสัตว์ บุคคล เกิดครับ ซึ่งการพิจารณา ต้องพิจารณาตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นสำคัญครับ ซึ่งขอยกกระทู้ของพี่เมตตาที่กล่าวและตอบโดยท่านอาจารย์ได้ดีดังนี้ ครับ

คุณเมตตา : ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ มีแต่ธรรมะ แล้วที่เรากำลังนั่งอยู่นี่เป็นอะไร?

ท่านอาจารย์ : เป็นธรรมะค่ะ ที่เรายึดถือว่าเป็นคน เป็นเราที่นั่งอยู่ขณะนี้ เป็นเพียงสภาพธรรมหลากหลายที่เกิดดับสืบต่อแต่ละขณะตั้งแต่เกิดจนตาย มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึก ไม่มีใครสามารถเลือกให้สภาพธรรมใดเกิดได้ตามต้องการ ไม่มีใครทำ เห็น ได้ เพราะ เห็น เกิดแล้วดับแล้ว เป็นผลของกรรม ไม่มีเรา ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ธรรมะ เมื่อมีปัจจัยพร้อม สภาพธรรมขณะนี้เกิดแล้ว

เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ก็จะเข้าใจ ที่เรียกว่า ชีวิต หรือว่า คน สัตว์ ละเอียดขึ้นว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีเรา ไม่มีคน เป็นเพียงสภาพธรรม แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ... ขณะเห็นเกิด มีเราอยู่ตรงไหน?

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 5 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังมีอวิชชา ความไม่รู้ อีกทั้งยังมีตัณหา ความติดข้องยินดีพอใจเป็นเครื่องผูกไว้ จึงยังมีการเกิดอยู่ร่ำไปหมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างไม่มีวันจบสิ้น ที่สุดของสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่ปรากฏ ที่เรียกว่าเกิดนั้น ก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนที่เกิด แต่มีธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน

ซึ่งแต่ละบุคคล ก็ได้เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นพระราชา คนมั่งมี คนตกทุกข์ได้ยาก คนมีความสุข เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นต้น ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจสภาพธรรมไปทีละเล็กทีละน้อย อีกทั้งไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท กล่าวได้ว่า เป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นการสะสมเสบียงเครื่องเดินทางอย่างดีในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 5 ต.ค. 2555

ไม่มีสัตว์ บุคคล เวียนว่ายตายเกิด

มีแต่จิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับ

พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เวียนว่ายตายเกิด ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chaiporn
วันที่ 5 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ยังไม่พ้น
วันที่ 6 ต.ค. 2555

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
หลานตาจอน
วันที่ 6 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 6 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ที่เรียกว่าเกิด นั้น ก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนที่เกิด แต่มีธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน"

เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ก็จะเข้าใจที่เรียกว่า ชีวิต หรือว่า คน สัตว์ ละเอียดขึ้นว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีเรา ไม่มีคน เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ... ขณะเห็นเกิด มีเราอยู่ตรงไหน?

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
natural
วันที่ 8 ต.ค. 2555

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Witt
วันที่ 12 ก.พ. 2566

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nui_sudto55
วันที่ 30 ธ.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nui_sudto55
วันที่ 1 เม.ย. 2567

สาธุครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ