สารธรรม วันอาสาฬหบูชา 2 ส.ค. 2555
umpai
วันที่ 6 ต.ค. 2555
หมายเลข 21843
อ่าน 1,159
สารธรรม วันอาสาฬหบูชา ๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา • เมื่อได้มีโอกาสฟังพระธรรม ได้ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย • กำลังฟังเพื่อที่จะเข้าใจความจริง ที่ยากแสนยากที่จะรู้ได้ • แม้กำลังปรากฏตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพชาติ • ไม่มีใครจะรู้ได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่ได้สะสมบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คงเป็นเพียงสาวกคือผู้ฟังพระธรรม • ต้องพิจารณา ไตร่ตรอง ไม่ลืม เพราะเหตุว่า แม้เป็นสิ่งที่มีตลอดชีวิตแต่ก็ ลืมเสมอ • คนไม่เคยฟังเลย จะไม่รู้ว่า นี่แหละคือธรรมะ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย • ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริง (ธรรมะ) กำลังปรากฏ เพื่อให้ได้ฟังเรื่อง สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งกำลังปรากฏว่ามีจริงในขณะนี้ เพื่อจะเข้าใจขึ้น เท่านั้น จนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง
• การจะเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ง่ายเลย ต้องอาศัยการที่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าทำไม่จึงต้องเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง
• ถ้าไม่เห็นประโยชน์ ก็จะไม่ฟัง
• ถ้าไม่รู้ว่าเป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะคิดเอาเองเหมือนกับว่า ใครก็คิดได้เป็นเรื่องธรรมดาๆ ง่ายๆ
• ตามความเป็นจริงแล้วต้องฟังตามลำดับให้รู้ว่า ขณะใดก็ตามที่ได้ฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้แล้วก็เข้าใจในความเป็นจริงนั้นยิ่งขึ้นนั่นคือการฟังธรรมะ
• ธรรมะที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา มากมายมหาศาล ที่แต่ละคนยากที่จะเข้าใจได้ทั่วถึง แต่ละคำด้วย ไม่ใช่รีบร้อนที่จะไปให้ถึง
• ฟังเพื่อสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
• พูดเรื่อง เห็น ได้ยิน คิดนึก บางคนเบื่อที่จะฟัง อยากจะฟังเรื่องใหม่ๆ เรื่องยากๆ เรื่องใหญ่ๆ พระองค์ทรงแสดงไว้หรือไม่ว่า เหล่านี้คือสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ขณะนี้มีเห็นหรือไม่ ได้ยินมีไหม เป็นธรรมะหรือเปล่า
• สิ่งที่กำลังปรากฏเพียงชั่วคราว ไม่ใช่หายไปทันทีที่ได้ฟัง
• เพียงชั่วคราวระดับไหน ชั่วคราวที่แสนสั้นคือในขณะนี้ เห็นแล้วก็ได้ยิน เห็นชั่วคราวแค่ไหน ได้ยินชั่วคราวแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏชั่วคราวแค่ไหน แต่เพราะความรวดเร็ว จึงไม่ปรากฏว่าสิ่งนั้นเกิดปรากฏชั่วคราวแล้วหายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
• เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ก็ต้องยังไม่เบื่อที่จะรู้ว่าขณะนี้คือสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เกิดแล้วปรากฏชั่วคราวแล้วหายไป ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย
• เดี๋ยวนี้ ชั่วคราวหรือเปล่า ฟังไม่ยาก แต่การที่จะรู้ความจริงของการเกิดขึ้นของเห็นและดับไป ยาก ได้ยินชั่วคราว เสียง หมดแล้ว ได้ยิน หมดแล้ว แล้วก็เป็นการรู้ความจริง ว่าชั่วคราวอย่างที่พูดหรือเปล่า ก็ยัง
• ฟังไปเรื่อยๆ แล้วก็เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็ไม่เที่ยง หมายความว่าไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ เมื่อเกิด ปรากฏแล้วดับไปแต่เร็วกว่าที่ทุกคนคิด
• เห็นเกิดแล้วดับเร็วมาก ได้ยิน เกิดแล้วดับเร็วมาก แต่ความจริงเร็วยิ่งกว่าที่ทุกคนคิด จึงสามารถที่จะลวงให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดดับสืบต่อ ปรากฏเป็น นิมิต รูปร่าง สัณฐาน
• ใช้คำว่า นิมิต ทุกคนคุ้นแต่ไม่รู้
• เห็นคน ถ้าไม่มีสัณฐาน รูปร่าง ที่ปรากฏ สีสันวรรณะที่ต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่า นั่นเป็นคน หรือนี่ไม่ใช่คน
• เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็จะเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต สัณฐาน ให้รู้ความต่างกัน คือเดี๋ยวนี้
• ฟังแล้วให้เข้าใจความจริงว่า กำลังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
• พูดถึงจิตทุกคนคุ้นหู ธาตุรู้ สภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏในขณะนี้ • ไม่ต้องไปหาจิตที่ไหน พอบอกว่า เห็น รู้จัก แต่ จิต อยู่ไหน งง จิต เป็นธาตุที่กำลังเห็น เป็นธาตุที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เป็นจิตแต่ละหนึ่ง ซึ่งแต่ละบุคคลก็ยึด จิตหนึ่งขณะ ที่เกิดขึ้น เป็นเรา และก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จนกระทั่งปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะที่เห็น
• เดี๋ยวนี้ กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฟัง จนกว่าจะรู้ความจริงว่า เห็นมีจริงๆ ปรกติอย่างนี้ด้วย แล้วก็เพียงเริ่มต้น เข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่เป็นเห็น เกิดเห็น แล้วก็ดับ เร็วมาก ขณะที่ได้ยิน เป็นปรกติอย่างนี้เลย ได้ยิน เกิดขึ้นได้ยินเสียง แล้วก็ดับ สืบต่อกันทีละหนึ่งขณะ โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย นี่คือการที่จะรู้ความจริงว่า เห็น ไม่ใช่เรา เพราะเกิดแล้ว ดับแล้ว ได้ยิน ก็ไม่ใช่ใครเลย เพียงแต่ว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น ได้ยินเสียงปรากฏแล้วก็ดับไป นี่คือความจริงที่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ แต่ต้องเริ่มจากสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
• หลายท่านได้ฟังธรรมะมา ๑๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือบางท่าน ๕๐ ปี ก็ได้ยินอย่างนี้ แล้วก็ประจักษ์ความจริงอย่างนี้แล้วหรือยัง ก็ยัง เพราะเหตุไม่ใช่เอาเวลามากำหนดว่า ท่านได้ยินบ่อยๆ แล้วท่านสามารถที่จะรู้ความจริง คือสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ได้ทันที เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ตรง ว่า จากการฟังแล้ว ฟังอีก บางท่านถามว่า แล้วมีประโยชน์อะไร มีประโยชน์ เพื่อจะไม่ลืม ว่าความจริงแท้ๆ ตั้งแต่เกิด จนตาย ก็คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วดับไป สืบต่อตั้งแต่เกิด จนกระทั่ง ถึงขณะนี้ แล้วก็ขณะต่อๆ ไปด้วย โดยที่ว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมบ่อยๆ ลืมแล้ว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็น นิมิต ทั้งหมด เพียงแต่ว่า เราจะกล่าวถึง อะไร เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา คำว่านิมิตขณะนี้หมายความว่าการเกิดดับสืบต่อไม่ปรากฏเลย แต่ว่า ปรากฏเป็นรูปร่าง ต่างๆ เป็นสีสันวรรณะ เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ นี่คือ แล้วอีก ๕๐ ปี ฟังต่อไป หรือว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ฟังอีก สามารถที่จะรู้ความจริงนี้หรือยัง ไม่ใช่เป็นกฏเกณฑ์ว่า ใคร จะให้เหมือนท่านอัญญาโกณฑัญญะ พอฟังแล้ว ท่านก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ถ้าได้ทราบประวัติของพระสาวกแต่ละท่าน แสนกัปป์ ไม่ใช่ ชาติ หรือ วัน หรือ เดือน หรือปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มี ก็มีอย่างนี้ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ในแสนกัปป์มาแล้ว เห็น ก็คือเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็จำ แล้วก็คิดถึง นิมิต แล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
• สุข ทุกข์ ทั้งหมด มาจากเห็นในชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง แล้วสุข ทุกข์ ทั้งหมด ก็มาจากการได้ยินเรื่องราวต่างๆ แต่ว่า ตามความเป็นจริง สิ่งนั้น ก็เกิดแล้ว หมดแล้ว ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย
• ถ้าตราบใด ที่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงจากการฟัง ว่าขณะนี้ แม้เป็นอย่างนี้ แต่เพราะการเกิดดับของธรรมะ ทุกอย่าง จึงเป็นการปรากฏของนิมิต ของธรรมะนั้นว่า มี
• แต่ถ้าเพียงเกิดมาหนึ่งขณะ แล้วก็ดับ แล้วก็หายไปเลย ไม่มีการเกิดต่อ ใครจะรู้ได้ไหมว่าธรรมะนั้น มี แต่เพราะเหตุว่า เมื่อเกิดแล้วดับไปก็จริง แม้แต่สิ่งที่สามารถกระทบตาปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ ก็ดับ เกิดดับ สืบต่อ แล้วก็ปรากฏเป็น นิมิต ลวงให้ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรเหลือนอกจากเดี๋ยวนี้ ชั่วหนึ่งขณะจิต ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ด้วยตัวเอง
• ฟังอีกนานเท่าไรก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามีเห็น แล้วความจริง ก็เป็นอย่างนี้ ที่ไม่ลืม แล้วก็จะรู้ว่า การค่อยๆ เข้าใจ เท่านั้น ที่จะทำให้สามารถรู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏได้ มิฉะนั้นแล้ว เพียงฟังวันนี้ หรือว่า สักปีหนึ่งมาแล้ว หรือว่าจะฟังต่อไป อีกไม่นาน ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจ มั่นคงขึ้น ว่า สิ่งที่ปรากฏ เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ไม่ว่านิมิตนั้น จะปรากฏเป็นอะไรก็ตาม
• นิมิตปรากฏให้เห็นว่าเป็นคน นิมิต ปรากฏให้เห็นว่าเป็นรถยนต์ นิมิตปรากฏให้เห็นว่าเป็นดอกไม้ แต่ว่า ตามความจริง ก็คือว่า มีสิ่งที่ต้องเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วจึงปรากฏเป็นสิ่งนั้นๆ ได้
• และเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่ง ก็สามารถที่จะเข้าใจ แม้แต่กำลังฟัง อย่างท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ กำลังฟังเรื่องเห็นแน่ๆ แล้วท่านก็สามารถที่จะรู้ว่า ที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องเห็น แล้วก็คิด แล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แต่สามารถใช้คำว่า แทงตลอด ความจริง ซึ่งเป็นสภาพธรรมเพียงหนึ่งลักษณะซึ่งเกิดขึ้นปรากฏให้เห็นได้ทางตา
• ขณะนี้ อยากฟังเรื่องอื่น แต่ว่าความจริงขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ที่ให้จำให้ค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะนี้ ความจริงก็คือว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ กระทบตา ปรากฏ แล้วดับ แล้ว ก็เกิดอีก ปรากฏอีกแล้วก็ดับ แล้วจิตเห็นอีก ก็เห็นอีก เห็นอีก จนปรากฏเป็นนิมิต สัณฐาน เรารู้อย่างนี้ หรือเปล่า ฟังอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ สะสมความเห็นอย่างนี้หรือเปล่า หรืออยากจะรู้อื่น เข้าใจอื่น ซึ่งไม่มีทางจะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่า การเกิดดับสืบต่อ รวดเร็วสักแค่ไหน นิมิตจึงมากมายเหลือเกิน
• สิ่งที่ปรากฏทางตา มากเท่าไร ก็แสดงว่าจิตเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว แล้วก็ รูปที่ปรากฏก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว จนปรากฏเป็นนิมิตซึ่งนับไม่ได้เลยว่ามากแค่ไหน
• นี่คือการฟัง เพื่อจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น
• นิมิตและอนุพยัญชนะทำให้ติดข้องอย่างไร
• ไม่ติดนี่ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
• เพราะเหตุว่า เพียงได้ยินได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏ ต้องเกิด แล้วดับ สืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิต
• แค่นี้ แล้วรู้อะไร เข้าใจอะไร ยังคงเป็นเราที่ได้ยินได้ฟัง แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
• เพราะฉะนั้นการที่จะไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ แม้แต่ประโยคนี้ก็แสดงถึงความติดแล้วแสดงถึงนิมิตแสดงถึงอนุพยัญชนะ
• เพระฉะนั้น ไม่ต้องข้ามไปไหนเลย ให้รู้ว่า แม้แต่คำว่า ไม่ติด ก็แสดงว่า เดี๋ยวนี้ ยังติด เพราะว่า ยังไม่มีปัญญา
• ยังติดเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมะที่ปรากฏ ผู้รู้สามารถแทงตลอดแล้วก็ประจักษ์ความจริงว่าเกิดขึ้นแล้วดับไป นั่นคือ ไม่ติดใน นิมิต อนุพยัญชนะ เพราะรู้ว่านิมิต คืออะไร ถ้าไม่รู้ว่า นิมิตคืออะไร คือสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ จะไม่ติดได้ไหม
• เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ เราฟัง แล้วก็หาวิธีที่จะไม่ติด แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะเข้าใจแต่ละคำว่า เพราะติด เพราะไม่รู้ในนิมิต แต่การที่จะไม่ติดก็ต้อง เพราะรู้ความจริงของนิมิตที่ปรากฏจึงสามารถที่จะไม่ติดได้ และไม่ติดขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จึงสามารถที่จะละความติดข้องได้
• แต่ละคำ ข้ามไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ จนกว่าจะมีความมั่นคงขึ้น
• เดี๋ยวนี้ติดหรือเปล่า เดี๋ยวก็พอฟังแล้วก็ ผ่านไป แต่ต้องตรงแล้วจริงใจ มั่นคง เดี๋ยวนี้ ติดนิมิต อนุพยัญชนะ หรือเปล่า ติด เพราะฉะนั้นจะไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ โดยเราไม่ติดได้ไหม ไม่ได้ และการที่จะไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ ถ้าไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพียงปรากฏให้เห็นได้ เมื่อจิตเห็นเกิด จะไม่ติดได้ไหม ในทั้งจิตเห็น และในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
• ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำก็มีความลึกซึ้ง ในแต่ละทางด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะข้ามไป ไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ พยายามหาทางที่จะไม่ติด โดยลืมว่า ขณะพูดนั่นติดหรือเปล่า แล้วติดในอะไรด้วย ติดในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วดับ หรือไม่ใช่ ถ้าสิ่งนั้นปรากฏว่าเกิดแล้วดับจะติดได้อย่างไร แต่เพราะสิ่งที่ปรากฏ ไม่ปรากฏว่าเกิดแล้วดับ แต่ปรากฏเป็นนิมิต เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วจึงยังคงติดอยู่
• ด้วยเหตุนี้ การสะสมปัญญา ความเห็นถูก จากการฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ลืมว่าในขณะนี้ ถ้าทุกคนหลับตา มีนิมิตปรากฏไหม มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้หรือเปล่า ก็ไม่ได้ หลับตาแล้ว ก็ไม่มีคน ไม่มีสิ่งที่ พอลืมตาก็มี ได้อย่างไร จากไม่มีชั่วคราวที่ไม่ปรากฏ ก็กลับมาเป็นมี คนตั้งหลายคน แล้วก็สิ่งต่างๆ มากมาย เพราะความไม่รู้ความจริง ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรมจึงไม่ประมาทที่จะต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ใครเคยคิดก่อนที่จะได้ฟัง ว่ามีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เป็นสีสันวัณณะต่างๆ ทำให้เกิดความคิดนึกเรื่องราวต่างๆ แต่ทันทีที่ไม่คิด เรื่องนั้นก็ไม่มี ทันทีที่ไม่เห็น สิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้ กลายเป็นสิ่งอื่นปรากฏ เช่น เสียง แล้วก็เรื่องราวของเสียง เพราะนิมิตของเสียง ถ้าเสียงไม่มีนิมิต เรื่องราวจะมีได้ไหม ไม่ได้
• แม้แต่คำว่านิมิตก็ไม่เข้าใจ ว่าอยู่ในโลกของนิมิตตลอด ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
• ถ้าเสียงไม่ ต่างๆ ๆ ให้รู้ว่าเป็นนิมิตว่า ต่างๆ ๆ ๆ จะมีเรื่องราว ต่างๆ ได้ไหม มีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ก็เพลินไป สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ในเรื่องราวจากเสียงที่ได้ยินเพราะไม่รู้นิมิต ว่าเสียงที่ได้ยิน เพราะ ต่าง แล้วก็ปรากฏให้จำได้ ในแต่ละเสียงที่ได้ยินจึงเป็นเรื่องราวที่เป็นสุขเป็นทุกข์ นี่ก็หลงแค่ไหนไม่รู้แค่ไหน เพียงแค่ สองทาง คือทั้งทางตา กับทางหู
• แล้ววันหนึ่งๆ เห็นมากเหลือเกินแล้วก็มีการได้ยินด้วยแล้วก็คิดนึก เพราะฉะนั้นความไม่รู้และการหลงสุข หลงทุกข์ มากมายสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นต้องรู้ตามความเป็นจริง ยังติดในนิมิต อนุพยัญชนะ ของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู
• การจะเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ง่ายเลย ต้องอาศัยการที่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าทำไม่จึงต้องเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง
• ถ้าไม่เห็นประโยชน์ ก็จะไม่ฟัง
• ถ้าไม่รู้ว่าเป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะคิดเอาเองเหมือนกับว่า ใครก็คิดได้เป็นเรื่องธรรมดาๆ ง่ายๆ
• ตามความเป็นจริงแล้วต้องฟังตามลำดับให้รู้ว่า ขณะใดก็ตามที่ได้ฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้แล้วก็เข้าใจในความเป็นจริงนั้นยิ่งขึ้นนั่นคือการฟังธรรมะ
• ธรรมะที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา มากมายมหาศาล ที่แต่ละคนยากที่จะเข้าใจได้ทั่วถึง แต่ละคำด้วย ไม่ใช่รีบร้อนที่จะไปให้ถึง
• ฟังเพื่อสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
• พูดเรื่อง เห็น ได้ยิน คิดนึก บางคนเบื่อที่จะฟัง อยากจะฟังเรื่องใหม่ๆ เรื่องยากๆ เรื่องใหญ่ๆ พระองค์ทรงแสดงไว้หรือไม่ว่า เหล่านี้คือสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ขณะนี้มีเห็นหรือไม่ ได้ยินมีไหม เป็นธรรมะหรือเปล่า
• สิ่งที่กำลังปรากฏเพียงชั่วคราว ไม่ใช่หายไปทันทีที่ได้ฟัง
• เพียงชั่วคราวระดับไหน ชั่วคราวที่แสนสั้นคือในขณะนี้ เห็นแล้วก็ได้ยิน เห็นชั่วคราวแค่ไหน ได้ยินชั่วคราวแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏชั่วคราวแค่ไหน แต่เพราะความรวดเร็ว จึงไม่ปรากฏว่าสิ่งนั้นเกิดปรากฏชั่วคราวแล้วหายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
• เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ก็ต้องยังไม่เบื่อที่จะรู้ว่าขณะนี้คือสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เกิดแล้วปรากฏชั่วคราวแล้วหายไป ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย
• เดี๋ยวนี้ ชั่วคราวหรือเปล่า ฟังไม่ยาก แต่การที่จะรู้ความจริงของการเกิดขึ้นของเห็นและดับไป ยาก ได้ยินชั่วคราว เสียง หมดแล้ว ได้ยิน หมดแล้ว แล้วก็เป็นการรู้ความจริง ว่าชั่วคราวอย่างที่พูดหรือเปล่า ก็ยัง
• ฟังไปเรื่อยๆ แล้วก็เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็ไม่เที่ยง หมายความว่าไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ เมื่อเกิด ปรากฏแล้วดับไปแต่เร็วกว่าที่ทุกคนคิด
• เห็นเกิดแล้วดับเร็วมาก ได้ยิน เกิดแล้วดับเร็วมาก แต่ความจริงเร็วยิ่งกว่าที่ทุกคนคิด จึงสามารถที่จะลวงให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดดับสืบต่อ ปรากฏเป็น นิมิต รูปร่าง สัณฐาน
• ใช้คำว่า นิมิต ทุกคนคุ้นแต่ไม่รู้
• เห็นคน ถ้าไม่มีสัณฐาน รูปร่าง ที่ปรากฏ สีสันวรรณะที่ต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่า นั่นเป็นคน หรือนี่ไม่ใช่คน
• เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็จะเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต สัณฐาน ให้รู้ความต่างกัน คือเดี๋ยวนี้
• ฟังแล้วให้เข้าใจความจริงว่า กำลังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
• พูดถึงจิตทุกคนคุ้นหู ธาตุรู้ สภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏในขณะนี้ • ไม่ต้องไปหาจิตที่ไหน พอบอกว่า เห็น รู้จัก แต่ จิต อยู่ไหน งง จิต เป็นธาตุที่กำลังเห็น เป็นธาตุที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เป็นจิตแต่ละหนึ่ง ซึ่งแต่ละบุคคลก็ยึด จิตหนึ่งขณะ ที่เกิดขึ้น เป็นเรา และก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จนกระทั่งปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะที่เห็น
• เดี๋ยวนี้ กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฟัง จนกว่าจะรู้ความจริงว่า เห็นมีจริงๆ ปรกติอย่างนี้ด้วย แล้วก็เพียงเริ่มต้น เข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่เป็นเห็น เกิดเห็น แล้วก็ดับ เร็วมาก ขณะที่ได้ยิน เป็นปรกติอย่างนี้เลย ได้ยิน เกิดขึ้นได้ยินเสียง แล้วก็ดับ สืบต่อกันทีละหนึ่งขณะ โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย นี่คือการที่จะรู้ความจริงว่า เห็น ไม่ใช่เรา เพราะเกิดแล้ว ดับแล้ว ได้ยิน ก็ไม่ใช่ใครเลย เพียงแต่ว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น ได้ยินเสียงปรากฏแล้วก็ดับไป นี่คือความจริงที่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ แต่ต้องเริ่มจากสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
• หลายท่านได้ฟังธรรมะมา ๑๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือบางท่าน ๕๐ ปี ก็ได้ยินอย่างนี้ แล้วก็ประจักษ์ความจริงอย่างนี้แล้วหรือยัง ก็ยัง เพราะเหตุไม่ใช่เอาเวลามากำหนดว่า ท่านได้ยินบ่อยๆ แล้วท่านสามารถที่จะรู้ความจริง คือสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ได้ทันที เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ตรง ว่า จากการฟังแล้ว ฟังอีก บางท่านถามว่า แล้วมีประโยชน์อะไร มีประโยชน์ เพื่อจะไม่ลืม ว่าความจริงแท้ๆ ตั้งแต่เกิด จนตาย ก็คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วดับไป สืบต่อตั้งแต่เกิด จนกระทั่ง ถึงขณะนี้ แล้วก็ขณะต่อๆ ไปด้วย โดยที่ว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมบ่อยๆ ลืมแล้ว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็น นิมิต ทั้งหมด เพียงแต่ว่า เราจะกล่าวถึง อะไร เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา คำว่านิมิตขณะนี้หมายความว่าการเกิดดับสืบต่อไม่ปรากฏเลย แต่ว่า ปรากฏเป็นรูปร่าง ต่างๆ เป็นสีสันวรรณะ เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ นี่คือ แล้วอีก ๕๐ ปี ฟังต่อไป หรือว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ฟังอีก สามารถที่จะรู้ความจริงนี้หรือยัง ไม่ใช่เป็นกฏเกณฑ์ว่า ใคร จะให้เหมือนท่านอัญญาโกณฑัญญะ พอฟังแล้ว ท่านก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ถ้าได้ทราบประวัติของพระสาวกแต่ละท่าน แสนกัปป์ ไม่ใช่ ชาติ หรือ วัน หรือ เดือน หรือปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มี ก็มีอย่างนี้ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ในแสนกัปป์มาแล้ว เห็น ก็คือเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็จำ แล้วก็คิดถึง นิมิต แล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
• สุข ทุกข์ ทั้งหมด มาจากเห็นในชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง แล้วสุข ทุกข์ ทั้งหมด ก็มาจากการได้ยินเรื่องราวต่างๆ แต่ว่า ตามความเป็นจริง สิ่งนั้น ก็เกิดแล้ว หมดแล้ว ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย
• ถ้าตราบใด ที่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงจากการฟัง ว่าขณะนี้ แม้เป็นอย่างนี้ แต่เพราะการเกิดดับของธรรมะ ทุกอย่าง จึงเป็นการปรากฏของนิมิต ของธรรมะนั้นว่า มี
• แต่ถ้าเพียงเกิดมาหนึ่งขณะ แล้วก็ดับ แล้วก็หายไปเลย ไม่มีการเกิดต่อ ใครจะรู้ได้ไหมว่าธรรมะนั้น มี แต่เพราะเหตุว่า เมื่อเกิดแล้วดับไปก็จริง แม้แต่สิ่งที่สามารถกระทบตาปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ ก็ดับ เกิดดับ สืบต่อ แล้วก็ปรากฏเป็น นิมิต ลวงให้ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรเหลือนอกจากเดี๋ยวนี้ ชั่วหนึ่งขณะจิต ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ด้วยตัวเอง
• ฟังอีกนานเท่าไรก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามีเห็น แล้วความจริง ก็เป็นอย่างนี้ ที่ไม่ลืม แล้วก็จะรู้ว่า การค่อยๆ เข้าใจ เท่านั้น ที่จะทำให้สามารถรู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏได้ มิฉะนั้นแล้ว เพียงฟังวันนี้ หรือว่า สักปีหนึ่งมาแล้ว หรือว่าจะฟังต่อไป อีกไม่นาน ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจ มั่นคงขึ้น ว่า สิ่งที่ปรากฏ เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ไม่ว่านิมิตนั้น จะปรากฏเป็นอะไรก็ตาม
• นิมิตปรากฏให้เห็นว่าเป็นคน นิมิต ปรากฏให้เห็นว่าเป็นรถยนต์ นิมิตปรากฏให้เห็นว่าเป็นดอกไม้ แต่ว่า ตามความจริง ก็คือว่า มีสิ่งที่ต้องเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วจึงปรากฏเป็นสิ่งนั้นๆ ได้
• และเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่ง ก็สามารถที่จะเข้าใจ แม้แต่กำลังฟัง อย่างท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ กำลังฟังเรื่องเห็นแน่ๆ แล้วท่านก็สามารถที่จะรู้ว่า ที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องเห็น แล้วก็คิด แล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แต่สามารถใช้คำว่า แทงตลอด ความจริง ซึ่งเป็นสภาพธรรมเพียงหนึ่งลักษณะซึ่งเกิดขึ้นปรากฏให้เห็นได้ทางตา
• ขณะนี้ อยากฟังเรื่องอื่น แต่ว่าความจริงขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ที่ให้จำให้ค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะนี้ ความจริงก็คือว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ กระทบตา ปรากฏ แล้วดับ แล้ว ก็เกิดอีก ปรากฏอีกแล้วก็ดับ แล้วจิตเห็นอีก ก็เห็นอีก เห็นอีก จนปรากฏเป็นนิมิต สัณฐาน เรารู้อย่างนี้ หรือเปล่า ฟังอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ สะสมความเห็นอย่างนี้หรือเปล่า หรืออยากจะรู้อื่น เข้าใจอื่น ซึ่งไม่มีทางจะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่า การเกิดดับสืบต่อ รวดเร็วสักแค่ไหน นิมิตจึงมากมายเหลือเกิน
• สิ่งที่ปรากฏทางตา มากเท่าไร ก็แสดงว่าจิตเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว แล้วก็ รูปที่ปรากฏก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว จนปรากฏเป็นนิมิตซึ่งนับไม่ได้เลยว่ามากแค่ไหน
• นี่คือการฟัง เพื่อจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น
• นิมิตและอนุพยัญชนะทำให้ติดข้องอย่างไร
• ไม่ติดนี่ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
• เพราะเหตุว่า เพียงได้ยินได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏ ต้องเกิด แล้วดับ สืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิต
• แค่นี้ แล้วรู้อะไร เข้าใจอะไร ยังคงเป็นเราที่ได้ยินได้ฟัง แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
• เพราะฉะนั้นการที่จะไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ แม้แต่ประโยคนี้ก็แสดงถึงความติดแล้วแสดงถึงนิมิตแสดงถึงอนุพยัญชนะ
• เพระฉะนั้น ไม่ต้องข้ามไปไหนเลย ให้รู้ว่า แม้แต่คำว่า ไม่ติด ก็แสดงว่า เดี๋ยวนี้ ยังติด เพราะว่า ยังไม่มีปัญญา
• ยังติดเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมะที่ปรากฏ ผู้รู้สามารถแทงตลอดแล้วก็ประจักษ์ความจริงว่าเกิดขึ้นแล้วดับไป นั่นคือ ไม่ติดใน นิมิต อนุพยัญชนะ เพราะรู้ว่านิมิต คืออะไร ถ้าไม่รู้ว่า นิมิตคืออะไร คือสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ จะไม่ติดได้ไหม
• เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ เราฟัง แล้วก็หาวิธีที่จะไม่ติด แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะเข้าใจแต่ละคำว่า เพราะติด เพราะไม่รู้ในนิมิต แต่การที่จะไม่ติดก็ต้อง เพราะรู้ความจริงของนิมิตที่ปรากฏจึงสามารถที่จะไม่ติดได้ และไม่ติดขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จึงสามารถที่จะละความติดข้องได้
• แต่ละคำ ข้ามไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ จนกว่าจะมีความมั่นคงขึ้น
• เดี๋ยวนี้ติดหรือเปล่า เดี๋ยวก็พอฟังแล้วก็ ผ่านไป แต่ต้องตรงแล้วจริงใจ มั่นคง เดี๋ยวนี้ ติดนิมิต อนุพยัญชนะ หรือเปล่า ติด เพราะฉะนั้นจะไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ โดยเราไม่ติดได้ไหม ไม่ได้ และการที่จะไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ ถ้าไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพียงปรากฏให้เห็นได้ เมื่อจิตเห็นเกิด จะไม่ติดได้ไหม ในทั้งจิตเห็น และในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
• ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำก็มีความลึกซึ้ง ในแต่ละทางด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะข้ามไป ไม่ติดในนิมิต อนุพยัญชนะ พยายามหาทางที่จะไม่ติด โดยลืมว่า ขณะพูดนั่นติดหรือเปล่า แล้วติดในอะไรด้วย ติดในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วดับ หรือไม่ใช่ ถ้าสิ่งนั้นปรากฏว่าเกิดแล้วดับจะติดได้อย่างไร แต่เพราะสิ่งที่ปรากฏ ไม่ปรากฏว่าเกิดแล้วดับ แต่ปรากฏเป็นนิมิต เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วจึงยังคงติดอยู่
• ด้วยเหตุนี้ การสะสมปัญญา ความเห็นถูก จากการฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ลืมว่าในขณะนี้ ถ้าทุกคนหลับตา มีนิมิตปรากฏไหม มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้หรือเปล่า ก็ไม่ได้ หลับตาแล้ว ก็ไม่มีคน ไม่มีสิ่งที่ พอลืมตาก็มี ได้อย่างไร จากไม่มีชั่วคราวที่ไม่ปรากฏ ก็กลับมาเป็นมี คนตั้งหลายคน แล้วก็สิ่งต่างๆ มากมาย เพราะความไม่รู้ความจริง ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรมจึงไม่ประมาทที่จะต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ใครเคยคิดก่อนที่จะได้ฟัง ว่ามีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เป็นสีสันวัณณะต่างๆ ทำให้เกิดความคิดนึกเรื่องราวต่างๆ แต่ทันทีที่ไม่คิด เรื่องนั้นก็ไม่มี ทันทีที่ไม่เห็น สิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้ กลายเป็นสิ่งอื่นปรากฏ เช่น เสียง แล้วก็เรื่องราวของเสียง เพราะนิมิตของเสียง ถ้าเสียงไม่มีนิมิต เรื่องราวจะมีได้ไหม ไม่ได้
• แม้แต่คำว่านิมิตก็ไม่เข้าใจ ว่าอยู่ในโลกของนิมิตตลอด ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
• ถ้าเสียงไม่ ต่างๆ ๆ ให้รู้ว่าเป็นนิมิตว่า ต่างๆ ๆ ๆ จะมีเรื่องราว ต่างๆ ได้ไหม มีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ก็เพลินไป สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ในเรื่องราวจากเสียงที่ได้ยินเพราะไม่รู้นิมิต ว่าเสียงที่ได้ยิน เพราะ ต่าง แล้วก็ปรากฏให้จำได้ ในแต่ละเสียงที่ได้ยินจึงเป็นเรื่องราวที่เป็นสุขเป็นทุกข์ นี่ก็หลงแค่ไหนไม่รู้แค่ไหน เพียงแค่ สองทาง คือทั้งทางตา กับทางหู
• แล้ววันหนึ่งๆ เห็นมากเหลือเกินแล้วก็มีการได้ยินด้วยแล้วก็คิดนึก เพราะฉะนั้นความไม่รู้และการหลงสุข หลงทุกข์ มากมายสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นต้องรู้ตามความเป็นจริง ยังติดในนิมิต อนุพยัญชนะ ของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู