แนะนำอาจารย์ขณะปฏิบัติธรรมแล้วติดขัด

 
ชอบ
วันที่  12 ต.ค. 2555
หมายเลข  21884
อ่าน  1,415

ผมอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี ต้องการอาจารย์แนะนำ ในการปฏิบัติแล้วเกิดติดขัดปัญหา จะขอเดินตามรอยพระพุทธองค์เป็นอริยบุคคลในชาตินี้

กราบอนุโมทนาสาธุ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 ต.ค. 2555

เชิญสหายธรรมร่วมให้คำแนะนำ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
daris
วันที่ 13 ต.ค. 2555

ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ

ก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาครับ ถ้าไม่รู้หรือหลงลืมความจริงข้อนี้ ก็เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ครับ ดังนั้นเมื่อพูดถึง "การปฏิบัติธรรม" จึงไม่ใช่การที่เราจะเป็นคนที่ตั้งใจปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เราต้องการครับ แต่เพราะภาษาไทยเราใช้คำว่าปฏิบัติในความหมายว่า การทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจึงมักจะเข้าใจผิดได้ว่า เวลาปฏิบัติธรรมจะต้องไป นั่ง นอน ยืน เดิน กำหนด ตามแบบแผนอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ได้ผล

แต่จริงๆ คำว่า "ปฏิบัติ" ในภาษาบาลีแปลว่า "ถึงเฉพาะ" หมายถึงสติระลึกตรงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และปัญญาเข้าใจสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงในขณะนั้น ซึ่งก็คือสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เราที่จะปฏิบัติธรรม แต่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดีมีสติและปัญญาเป็นต้นทำกิจของตน ซึ่งการที่สติและปัญญาในขั้นสติปัฏฐานจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องเริ่มจากปัญญาในขั้นการฟัง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีความรู้เลยว่า พระอริยบุคคลคือใคร สติปัฏฐานคืออะไร ปัญญาต้องรู้อะไร ดังนั้นต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยฟังจากผู้ที่มีปัญญาความเข้าใจพระธรรมสามารถอธิบายให้เราเข้าใจได้

อีกประเด็นคือ การที่เราคาดหวังว่า เราจะได้เป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้ ก็ต้องพิจารณาว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่ใช่จะให้ท้อถอยหรือเสียกำลังใจนะครับ แต่เราต้องรู้จักตัวเราตามความเป็นจริงว่า สะสมกิเลสมานานนับแสนโกฏิกัปป์ จะให้หมดกิเลสภายในชาติเดียว เป็นเรื่องที่เป็นไปได้หรือไม่ แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี สี่อสงไขยแสนกัปป์ นับชาติไม่ถ้วนกว่าจะบรรลุ พระสาวกทั้งหลายก็บำเพ็ญบารมีหลายกัปป์กว่าจะบรรลุ การที่เราจะกำหนดกะเกณฑ์ว่าเราจะต้องบรรลุในชาตินี้นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

ที่น่าสนใจอีกประการคือ เราไม่รู้เลยว่าตอนที่เราเกิดมานั้น ปฏิสนธิจิตของเรามีปัญญาเกิดร่วมด้วย (ติเหตุกะ) หรือไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย (ทวิเหตุกะ) หากไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็ไม่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินี้ได้ครับ แต่สามารถอบรมเจริญปัญญาโดยการฟังพระธรรมได้ เพื่อสะสมปัญญามากขึ้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็จะถึงชาติหนึ่งที่เหตุปัจจัยพร้อมก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

ดังนั้นไม่ควรหวังผลว่าชาตินี้จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อจะได้เป็นพระอริยบุคคลขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นประโยชน์ว่า เกิดมาได้ในสมัยที่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ และมีผู้ที่มีปัญญาความเข้าใจธรรม ที่จะสามารถอธิบายพระธรรมให้เราเข้าใจได้ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรมเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาครับ

ขอให้เริ่มจากการฟังพระธรรมนะครับ หากมีพระธรรมที่ถูกต้องเป็นที่พึ่งก็จะไม่หลงทางครับ ในเว็บไซต์นี้ก็มีไฟล์เสียงบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีปัญญาความเข้าใจธรรมที่หาได้ยากในปัจจุบัน ฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่หวังผลว่า จะได้อะไรนอกจากละความไม่รู้จากการที่ไม่เคยได้ฟังพระธรรมครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ชอบ
วันที่ 13 ต.ค. 2555

ขอบพระคุณครับ ขอน้อมรับมาทดลองครับ ธรรมคือธรรมชาติ ผมจะลืมความตั้งใจมีสติอยู่กับปัจจุบันแลเห็นความเกิดดับของรูปและนามไปเรื่อย ขอให้ทุกท่านมีดวงตาเห็นธรรมโดยเร็วข้ามภพข้ามชาติจนถึงสันติสุขทุกท่านทุกคนเทอญ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 13 ต.ค. 2555

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
daris
วันที่ 14 ต.ค. 2555

เรียนคุณ ชอบ

ขออนุญาตแสดงความเห็นเพิ่มเติมสักเล็กน้อยนะครับ

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในการศึกษาพระธรรมคือ รู้ตามความเป็นจริงว่า ปัญญาของเราขั้นไหน เช่นปัญญาขั้นฟังเข้าใจก็ยังไม่ใช่ปัญญาขั้นสติปัฏฐานที่รู้ตรงสภาพธรรม และ ปัญญาขั้นสติปัฏฐาน ก็ไม่ใช่ปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณที่ประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริงโดยความไม่ใช่ตัวตน และการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นๆ ต้องใช้เวลายาวนานที่จะค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ อบรม และระวังที่จะไม่เข้าใจผิดว่า ความคิดนึกเป็นสติปัฏฐานหรือวิปัสสนาญาณ อย่างเช่นการที่จะเห็นความเกิดดับของรูปนาม ก็ไม่ใช่เราเห็นและไม่ใช่การคิดนึก แต่ต้องเป็นปัญญาระดับสูงมาก ที่เป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๓ และ ๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่ถึงได้ด้วยการค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาจากการฟังพระธรรม โดยไม่หวังแม้แต่ว่า จะให้สติเกิดมากๆ ให้ปัญญาเกิดมากๆ อย่างรวดเร็ว แต่ฟังพระธรรมเพราะรู้ว่าเรายังไม่รู้ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็จะเบาสบาย ไม่ต้องหนักอกหนักใจว่าจะไปถึงไหนเมื่อไหร่ ฟังวันนี้ปัญญาเจริญขึ้นนิดนึง ฟังวันต่อๆ ไปก็เจริญขึ้นอีกทีละนิดๆ เหมือนน้ำค้างที่ค่อยๆ หยดลงในโอ่งใบใหญ่ แม้จะทีละหยดๆ แต่วันหนึ่งข้างหน้าแม้จะอีกยาวนาน น้ำก็ต้องเต็มโอ่งได้ ครับ

ในสมัยที่ท่านสุเมธดาบสได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้านามว่าพระทีปังกรว่า อีก ๔ อสงไขย แสนกัปป์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมของเรา ผู้คนในสมัยนั้นที่ได้ทราบเรื่องต่างก็ร่าเริงยินดีว่า แม้จะไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในสมัยของพระทีปังกร ก็ยังมีโอกาสจะบรรลุในสมัยของพระพุทธเจ้าของเรา ท่านเหล่านั้นไม่ได้ย่อท้อเลยว่าอาจจะต้องรออีกนานแสนนานกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

ดังนั้น การที่เรามีโอกาสได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม เราก็ควรที่จะร่าเริงยินดีว่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐ เห็นคุณค่าและไม่ละทิ้งการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมและเจริญกุศลทุกประการตามกำลังความสามารถของเรา ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Patikul
วันที่ 14 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนากุศลจิตในที่นี้ด้วยค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natural
วันที่ 15 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ชอบ
วันที่ 15 ต.ค. 2555

จิตของผมนี่ก็ไม่เที่ยง เมื่อวานพองโตฟุ้งไปทั่ว พอเช้าสงบลง หาสาระมิได้เลย กายผมเหมือนกัน นั่งตอนแรกๆ สบาย พอนั่งนานๆ ก็ปวดก็เมื่อย เป็นอย่างนี้ไม่มีวันสิ้นสุด ลึกๆ รู้ว่ามันไม่ใช่ของเราแต่ก็ยังยึดมันไว้อยู่ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์สลับกันไปมา หาจุดเริ่มจุดจบไม่เจอ เหมือนดังตะวัน เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง หมุนเวียนเปลี่ยนสลับไปมา หาต้นทาง ปลายทางมิเจอ วนเวียนผ่านวัฏสงสารไม่รู้กี่ภพชาตินะครับ

ขออนุโมทนาที่ช่วยเป็นญาติธรรมทุกๆ ท่าน

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ