กิเลสของพ่อแม่
คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่มักจะส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนอนุบาลที่มีชื่อเสียงดังๆ เพื่อให้ลูกอยู่ในสังคมที่ดี และมีวิชาการที่ดี การที่พ่อแม่ส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนดังกล่าวก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องจัดสรรเวลาให้ดี จึงทำให้พ่อแม่เหนื่อยมากขึ้น แต่เราคิดว่ากิเลสของพ่อแม่นั้นแหละที่ทำให้พ่อแม่ต้องลำบาก จริงๆ แล้วเด็กในวัยนี้ไม่รู้จักสังคมดีๆ หรือวิชาการที่ดีหรอก
เราคิดว่าคุณพ่อและคุณแม่ทุกท่านควรปรับเปลี่ยนมาปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมให้กับลูกน่าจะดีกว่านะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ใครก็ตามที่ยังละกิเลสไม่ได้ กิเลสก็ย่อมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แต่ถ้าสะสมมากขึ้นๆ ก็เป็นเหตุให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ ดังนั้น บาปของพ่อแม่หรือของใครก็ตาม อยู่ที่การกระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ตามกำลังของกิเลส ไม่ใช่อยู่ที่อย่างอื่น
การส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดีๆ หรือ โรงเรียนธรรมดา ก็ไม่ได้เป็นเครื่องตัดสินว่าพ่อแม่จะได้ทำหน้าที่ในการพร่ำสอนบุตรธิดา หรือ ไม่ได้พร่ำสอน ทั้งหมดเป็นไปตามการสะสมของแต่บุคคลอย่างแท้จริง ความดีเกิดกับใคร ก็ทำให้บุคคลนั้นเป็นคนดี บุคคลที่เป็นคนดี ก็คิด ทำ และพูดในสิ่งที่ดี กระทำหน้าที่ของตนๆ ให้สมบูรณ์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ก็ตาม เป็นพ่อแม่ ก็เป็นพ่อแม่ที่ดี เป็นต้น แต่ถ้าอกุศลเกิดขึ้นครอบงำ ก็ย่อมทำให้ไม่กระทำในกิจที่ควรทำ
แต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสมจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้ว คนทั้งโลกก็มีมาก การที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดี มีคุณธรรม เหมือนๆ กันทั้งหมด ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตนเองก็ไม่ควรลืมกิจที่ควรทำสำหรับตนเอง ด้วยการสะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หน้าที่ของบิดา มารดาที่ดี ก็คือ การให้ความรู้ ศิลปะต่างๆ ซึ่งในสมัยนี้ก็คือ การให้การศึกษา โดยให้ไปเรียนที่โรงเรียนต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่จะทำให้มีความรู้ เพื่อประกอบอาชีพ ดังนั้น การที่พ่อแม่จะเหนื่อย ลำบากหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่การจะส่งลูกไปเรียนที่ไหนอย่างไร แต่ ความลำบากกาย เกิดจากกรรมของพ่อแม่เอง ไม่ใช่เกิดจากกิเลสของพ่อแม่ ขณะที่ลำบากกาย เป็นผลของกรรมที่เป็นอกุศลกรรมในอดีต ทำให้เกิดความเหนื่อยกาย เป็นต้น ส่วน ขณะที่กิเลสเกิดขึ้น มีความอยากให้ลูกได้ดี ได้เรียนในสถานที่ดีๆ ก็เป็นธรรมดาของกิเลสที่จะต้องมีกันทุกคน จะมีในด้านไหน อย่างไร ส่วน บิดา มารดา ก็สามารถแนะนำ สั่งสอนด้วยการปลูกฝังจริยธรรมด้วยในเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน ที่พบกันในบ้าน เป็นต้น แต่ที่สำคัญ การจะปลูกฝังจริยธรรมคุณงามความดีกับใคร ตนเองก็จะต้องรู้จักความดี รู้จักจริยธรรม ด้วยการศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าทรงแสดงเสียก่อน เพราะ อาศัยการศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อมีความเห็นถูก มีความคิดที่ถูก ก็ย่อมจะถ่ายทอด แนะนำในสิ่งที่ถูกและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กด้วย ครับ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เพียงว่าจะให้เด็กศึกษาจริยธรรม คุณความดี เท่านั้น แต่จะต้องเริ่มจากตัวผู้ใหญ่เองเสียก่อนเป็นสำคัญ เพราะ การปลูกฝังคุณธรรม ก็ปลูกฝังได้ ไม่ว่าวัยใด เพราะ วัยก็เป็เพียงสมมติ แต่ในความจริงก็เป็นเพียงจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้น ขณะจิตใดที่เข้าใจพระธรรม ก็ชื่อว่าปลูกฝังจริยธรรม ปลูกฝังคุณความดี มีปัญญา เป็นต้น ในขณะนั้นแล้ว ครับ
ดังนั้น จะต้องแก้ คือ เริ่มจากตนเองเป็นสำคัญก่อน เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง จากการศึกษาพระธรรม การดำเนินชีวิตก็เป็นไปในทางที่ถูกต้อง เมื่อมีบุตร ก็อบรมคุณธรรมกับบุตร และให้บุตรได้ศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนที่ดี อันสมควรกับฐานะ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
พ่อแม่ทุกคนมีความปรารถนาดีให้บุตรได้ดีทุกคน ดังนั้นจึงพยายามที่จะทำให้บุตรของตนเป็นคนดี คนเก่ง และพยายามหาทางให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดี และอบรมสั่งสอนบุตรให้ดี (นี่คือบุญของพ่อแม่) ดังนั้น เราก็ควรที่จะระลึกถึงบุญคุณของท่านให้มากๆ นะคะ
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ
ได้อ่านกระทู้แล้วก็นึกถึงพระสูตรหนึ่งที่เคยฟังท่านอาจารย์สุจินต์บรรยาย เรื่องเปรตบุตรเศรษฐี ([เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 6, อุรควรรคที่ ๑, อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุที่ ๑) ที่กล่าวถึงครอบครัวเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายคนเดียว พ่อแม่เห็นว่าบ้านของตนร่ำรวย จะให้ลูกชายใช้เงินฟุ่มเฟือยทุกวันไปจนร้อยปี เงินก็ไม่หมด จึงไม่ได้ให้ลูกชายเรียนศิลปะวิทยาอะไรเลย ให้อยู่บ้านมีชีวิตสุขสบายบำรุงบำเรอด้วยกามคุณต่างๆ ต่อมาเมื่อพ่อแม่ของชายคนนั้นเสียชีวิต ชายคนนั้นทำมาหากินไม่เป็น เงินที่มีอยู่จึงหมดไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาก็ต้องกู้หนี้ยืมสินจนเจ้าหนี้ตามทวงยึดบ้านยึดที่จนสิ้นเนื้อประดาตัวต้องกลายเป็นขอทาน ต่อมาเขาได้ไปเข้ากับพวกโจรออกปล้นชาวบ้าน แต่ถูกทางการจับกุมได้และถูกตัดสินประหารชีวิต เมื่อเขากำลังถูกนำไปประหาร มีหญิงงามเมืองผู้หนึ่งที่ชายคนนี้เคยบำรุงบำเรอตอนที่ยังร่ำรวยเห็นเข้า นางจึงเกิดความสงสาร และนำขนมต้มกับน้ำดื่มไปให้ชายคนนั้นได้รับประทานก่อนที่จะถูกประหาร
ในตอนนั้นท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ทราบเรื่องด้วยทิยพจักษุ และทราบว่าชายผู้นี้ตายแล้วต้องไปเกิดในนรกแน่ เพราะทั้งชีวิตทำแต่บาปไม่เคยทำบุญเลย ด้วยความกรุณาของท่านและคิดจะเป็นที่พึ่งให้ชายคนนั้น ท่านจึงไปปรากฏตัวต่อหน้าชายผู้นั้น ชายผู้นั้นเกิดกุศลจิตว่า ขนมต้มและน้ำนี้จะมีประโยชน์อะไรกับตนที่กำลังจะถูกประหาร และได้ถวายให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหาโมคคัลลานะรับมาและได้ฉันต่อหน้าชายคนนั้นเพื่อให้เขามีความยินดีในทานที่ได้ทำ
เมื่อชายนั้นถูกประหาร ท่านก็ได้ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่าหากชายผู้นี้ขยันขวนขวายในการประกอบกิจการงาน จะได้เป็นเศรษฐีที่เลิศกว่าเศรษฐีทั้งหลายในนครนั้น แต่หากเขาได้บวช ก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม
เรื่องนี้ก็ทำให้พิจารณาได้ว่า คุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญมากแค่ไหน หากท่านไม่ได้สั่งสอนเราเรื่องคุณธรรมจริยธรรมตั้งแต่เรายังเด็ก และไม่ได้ให้การศึกษาเรา ให้เราสามารถประกอบการงานอาชีพสุจริตเลี้ยงตัวเองได้ เราก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมและเจริญกุศลประการต่างๆ พระคุณของท่านมากมายสุดที่จะประมาณและทดแทนได้ยากจริงๆ ครับ ท่านเป็นปุถุชนก็ต้องมีกิเลสครบเหมือนที่เรามี แต่เราก็เคารพในคุณความดีของท่าน และทดแทนพระคุณท่านสุดความสามารถที่จะทำได้ครับ
ขออนุโมทนา อ.ผเดิม, อ.คำปั่น และคุณ tookta ครับ