ความเข้าใจ เพื่อเป็นปัจจัยการเจริญเมตตา
เมื่อเคยเข้าใจผิดเห็นผิดมาก่อน แล้วต่อมาได้ฟังพระธรรม เกิดความเห็นที่ตรงขึ้น ทำให้เห็นว่า ปัญหาใหญ่ คือความเห็นผิด เข้าใจผิด เข้าใจไปเอง หรืออื่นๆ ทำนองนี้ ซึ่งไม่ตรงกับพระพุทธพจน์ ไม่ตรงกับธรรมะ ฟังจากเทปวิทยุ ทำให้ทราบว่าปัญหาความเข้าใจผิด เห็นผิดนี้ มีมานานแล้ว และทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะผุู้ที่สนใจธรรมะฟังมาน้อยฟังไม่ด้วยดี รู้ไม่ทั่วถึง ๓ ปิฎก มุ่งหาเหตุมาสนับสนุนความชอบใจของตน แทนที่จะตั้งเป้าว่า มุ่งหาความจริงความตรง ไม่ปักใจว่า ความเห็นที่ยึดถือนั้น ถูกแล้วตรงแล้ว เช่น เดิมผมได้ยินคำว่า ใช้อกุศลละอกุศล ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมมากขึ้น ก็คิดไปเอง เข้าใจไปเองว่า เอ..มันจะเป็นไปได้หรือ แต่ก็เทียบเคียงเอาเองว่า ก็อยากดี อยากได้บุญ อยากปฏิบัติธรรม อยากรักษาศีล อยาก ฯลฯ มันเป็นโลภะ แต่ก็ทำให้ คนได้ทำสิ่งที่ คนเห็นว่าเป็นบุญ ประกอบกับต่อมา ก็ได้ยินคำว่า กุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศลก็ได้ อกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศลก็ได้ ก็เหมาเอา อนุมานเอาว่า พ้องกับ ใช้อกุศลละอกุศล
ต่อมา ได้ฟังพระธรรมเพิ่มขึ้นอีก ทำให้เข้าใจตรงขึ้นอีกว่า ที่ว่า ใช้ อกุศล ละ อกุศล หมายความว่า เมื่อเกิด อกุศล แล้ว จิตระลึกรู้ว่าเป็นอกุศลแล้ว ละเสีย ข่มไว้ หรือใช้เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน แล้วแต่ระดับของสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่ความเห็นที่ทำนองว่า เออ อกุศลก็ดีนะ ทำให้ทำกุศล ซึ่งผิด เพราะขณะเป็นอกุศล ก็เป็นอกุศล ขณะเป็นกุศลก็เป็นกุศล อกุศลมิใช่ปัจจัยโดยตรงให้เกิดกุศล แต่เป็นอารมณ์ของกุศลจิต ในขณะถัดไปได้ต่างหาก
พอเขียนมาถึงตรงนี้ ผมก็เกิดความรู้ความเห็น อันเกิดจากการพิจารณาธรรมะเมื่อกี้นี้ว่า ที่ว่าอกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล หมายความว่า ขณะจิตที่เป็นอกุศล ก็เป็นอกุศล จะเป็นกุศลในขณะเดียวกันไม่ได้ แต่เนื่องจากว่า จิตขณะต่อๆ มา มีอกุศลในขณะก่อน เป็นอารมณ์ และมีสติเกิดร่วมด้วย ดังนั้น คำว่า อกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล ปัจจัยนี้คือ อารัมณปัจจัยใช่หรือไม่ครับ? ถ้าใช่ ผมสงสัยว่า เมื่อจิตที่เป็นอกุศลจิตดวงก่อนดับไป อะไรของอกุศลจิตที่ดับไปแล้ว มาเป็นอารมณ์ของกุศลจิตดวงถัดมา จิตที่เป็นกุศลดวงถัดมา รู้ว่าจิตดวงก่อนเป็นอกุศล ด้วยกลไกอย่างไรครับ ในเมื่อจิตดวงก่อนที่เป็นอกุศลก็ดับไปแล้ว
คือผมยังไม่ชำนาญเรื่องปัจจัย และวิถีจิตครับ หรือเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจากความเข้าใจของผมข้างต้น ผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับ
จากทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้รู้สึกว่า การจะบอกต่อพระธรรมยากมาก เพราะผู้มีอุปนิสัยคือเงี่ยโสตลงฟัง ก็ยาก หากเงี่ยโสตลงฟังแล้ว ก็มาต่อที่ มีความเห็นคลาดเคลื่อนอีก และยึดมั่นความเห็นของตัวไว้อีก ไม่ยอมสอบสวนเพิ่ม ต่อมาก็ ฟังไม่มาก ศึกษาไม่มาก ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ไม่มีโอกาสเทียบเคียง ในพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม อรรถกถาต่างๆ ต่อมาอีก ก็มีคำสอนที่คลาดเคลื่อนมากมาย แถมท้าย ผู้ได้ศึกษามามากพอที่จะชี้แจงได้ถูกต้อง ก็หาได้ยาก
ดังนั้น จึงพยายามเข้าใจผู้ที่เห็นผิด และเจริญเมตตาในผู้เห็นผิด เพราะเราก็ยังมีสิ่งที่ยังเห็นผิดอยู่เหมือนก้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเ้จ้าพระองค์นั้น
จากคำถามที่ว่า
คำว่า อกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล ปัจจัยนี้คือ อารัมณปัจจัย ใช่หรือไม่ครับ? ถ้าใช่ ผมสงสัยว่า เมื่อจิตที่เป็นอกุศลจิตดวงก่อนดับไป อะไรของอกุศลจิตที่ดับไปแล้ว มาเป็นอารมณ์ของกุศลจิตดวงถัดมา จิตที่เป็นกุศลดวงถัดมา รู้ว่าจิตดวงก่อนเป็นอกุศลด้วยกลไกอย่างไรครับ ในเมื่อจิตดวงก่อนที่เป็นอกุศลก็ดับไปแล้ว คือผมยังไม่ชำนาญเรื่องปัจจัย และวิถีจิตครับ หรือเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจากความเข้าใจของผมข้างต้น ผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับ
อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล ด้วยหลายปัจจัย ครับ เช่น โดยปกตูปนิสสยปัจจัยก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น เพราะ อาศัยโลภะ อยากได้ไปเกิดที่ดีๆ อยากมีทรัพย์สมบัติ จึงเป็นปัจจัยให้ทำกุศล มีการให้ทาน เป็นต้น เพราะ อาศัยโลภะเป็นปัจจัย ในขณะจิตแรกเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิต มีการให้ทาน เป็นต้น ในขณะจิตต่อๆ ไป ครับ ด้วยอำนาจของปกตูปนิสสยปัจจัย
ส่วน อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล ด้วยอารัมมณปัจจัยก็ได้ คือ โดยการเป็นอารมณ์ ซึ่งการเป็นอารมณ์ในที่นี้ เป็นอารมณ์ คือ อกุศลที่เพิ่งดับไป ซึ่งอาศัยการสืบต่ออย่างรวดเร็ว แม้สภาพธรรมนั้นดับไปแล้ว แต่เพราะอาศัยการสืบต่ออย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่าปัจจุบันสันตติ ก็สามารถเกิดระลึกลักษณะของอกุศลว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลได้หรือไม่
เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ
รู้ว่าเป็นอกุศลจิตเมื่อสติเกิด
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลอุปการะ เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน (ไม่ใช่อกุศลธรรม) แม้แต่ ในเรื่องของเมตตา ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี และเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ไม่เป็นพิษเป็นภัย แก่ใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่ควรมี ควรอบรมให้มีขึ้น แทนที่จะโกรธกัน หรือไม่พอใจกัน เมตตา เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าความโกรธ (ถ้าไม่ได้สะสมมา ก็ไม่ง่าย) เพราะ โกรธ ต้องหาเรื่องที่จะต้องโกรธ ต้องย้อนคิดถึง เรื่องที่ทำให้ตนเองโกรธ แต่ถ้าเป็นเมตตาแล้ว ใจเบาสบาย ไม่หนักด้วยอำนาจของโทสะ
เมื่อเข้าใจพระธรรมมากขึ้น ย่อมทำให้เข้าใจ คนที่มีกิเลสด้วยกัน แทนที่จะโกรธ ก็ไม่โกรธ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้ ตอนหนึ่งว่า จากที่เคยเป็นผู้มากไปด้วยความโกรธ แล้วเป็นผู้ไม่โกรธ มีเงินทองมากสักเท่าไร ก็ไม่สามารถทำให้เป็นอย่างนี้ได้ แต่ปัญญาทำให้เป็นอย่างนี้ได้และเป็นไปได้จริงๆ
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมแล้ว นับวันจะมีแต่พอกพูนอกุศล ให้มีมากขึ้น พอกพูนความไม่รู้ต่อไปอีกนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีปัญญา ก็ย่อมไม่สามารถดับหรือทำลายกิเลสใดๆ ได้เลย หนทางที่จะเป็นไป เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อดับกิเลสทั้งหลาย นั้น มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญาซึ่งพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก็ได้ดำเนินตามหนทางนี้มาแล้ว ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จากความคิดเห็นที่ ๑
"อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล ด้วยหลายปัจจัย ครับ เช่น โดยปกตูปนิสสยปัจจัย ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เพราะ อาศัยโลภะ อยากได้เกิดที่ดีๆ อยากมีทรัพย์สมบัติ จึงเป็นปัจจัยให้ทำกุศล มีการให้ทาน เป็นต้น เพราะ อาศัยโลภะเป็นปัจจัย ในขณะจิตแรกเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิต มีการให้ทาน เป็นต้น ในขณะจิตต่อๆ ไป ครับ ด้วยอำนาจของปกตูปนิสสยปัจจัย
ส่วน อกุศล เป็นปัจจัยให้เกิดกุศล ด้วยอารัมมณปัจจัยก็ได้ คือ โดยการเป็นอารมณ์ ซึ่ง การเป็นอารมณ์ในที่นี้ เป็นอารมณ์ คือ อกุศลที่เพิ่งดับไป ซึ่งอาศัยการสืบต่ออย่างรวดเร็ว แม้สภาพธรรมนั้นดับไปแล้ว แต่เพราะอาศัยการสืบต่ออย่างรวดเร็วที่เรียกว่าปัจจุบันสันตติ ก็สามารถเกิดระลึกลักษณะของอกุศลว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา"
ในสังสารวัฏฏ์นี้ กุศลและอกุศล เป็นปัจจัยแก่กัน ตลอดมา หาต้นไม่พบ หาที่สุดไม่ได้ ที่แปลกก็คือ ธรรมชาติไม่ยอมให้เลือกเอาเฉพาะกุศลอย่างเดียว ถ้าเอากุศล ก็ยังต้องพ่วงอกุศล ถ้าเอาอกุศลก็ต้องพ่วงกุศล ต้องพ้นไปจาก ทั้งกุศลและอกุศล จึงจะพ้นจากระบบนี้ ผลของการพ้นสุดท้ายคือ ความไม่เกิดอีก แต่ทั่วไปยังอยากเห็น อยากได้กลิ่นฯ อยู่ แต่ขอให้เป็นอารมณ์ที่ชอบใจ รังเกียจอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ จะว่าไป กุศลกับอกุศล ก็ไม่ต่างกัน ตรงที่เป็นปัจจัยเหมือนกัน แต่เป็นปัจจัยต่างๆ กันไป จะเป็นพิเศษก็แต่ กุศลขั้นสติปัฏฐาน ที่เป็นกุศล ที่นำออกจากวัฏฏ์วนนี้
โอ้หนอ เราผู้ยังไม่พ้นจากวัฏฏ์วนนี้ ยังหวังพึ่ง บุญประการต่างๆ อยู่ รักสุข เกลียดทุกข์ แล่นไปตามกระแสแห่งโลกที่ไม่แน่นอน มีอันตรายรอบด้าน มีสูงๆ ต่ำๆ เป็นธรรมดา มีทุคติ และสุคติเป็นอันเป็นไปได้ หมุนวน โอ้หนอ ต้องประสบสุขและทุกข์เป็นอันมาก หาประมาณมิได้ เป็นไป