คำว่า บุญ และ กุศล เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
กราบเท้าอาจารย์ทุกท่านที่เคารพอย่างสูง
เนื่องจากมีหัวข้อสนทนาที่เข้าใจไม่ตรงกัน ระหว่าง คำว่า บุญ และ กุศล เหมือนหรือต่างกันอย่างไร โดยมีข้อมูล ดังข้างล่างนี้ จากภิกษุรูปหนึ่งได้กล่าวไว้
กราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านอย่างสูง
"บุญ" และ "กุศล" ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
พุทธศาสนิกชนควรแยกให้ได้ เพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง เมื่อใดมีการพิจารณากันให้ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนั้นจะพบความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกกันว่า "บุญ" กับสิ่งที่เรียก (กัน) ว่า "กุศล" บ้าง ไม่มากก็น้อย แล้วแต่ความสามารถในการพินิจพิจารณา แต่ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว "บุญ" กับ "กุศล" ควรจะเป็นคนละอย่าง หรือเรียกได้ว่า ตรงกันข้าม ตามความหมายของรูปศัพท์แห่งคำสองคำนี้ทีเดียว คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟูหรือพองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น ส่วนคำว่า กุศล นั้น แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมายเช่นนี้เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง บุญเป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจ พอใจ ชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทาน หรือรักษาศีลก็ตาม แล้วก็ ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือแม้ที่สุดแต่รู้สึกว่าตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก
ในกรณีที่ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าได้บุญเหมือนกัน แม้จะเป็นบุญชนิดที่ไม่สู้จะแท้ หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อเอาบุญกันจริงๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่า ตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มีความปรารถนาอย่างนั้นอย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา นำไปสู่การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามแต่ตนจะปรารถนา ไม่ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติก็ตาม
ฉะนั้น ความหมายของคำว่า บุญ จึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้ฟูใจ และเวียนไปเพื่อความเกิดอีกไม่มีวันที่สิ้นสุดลงได้
ส่วนกุศลนั้น เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ แผ้วถางสิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง ไม่ข้องแวะกับความฟูใจ หรือพอใจ เช่นนั้น แต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสีย ซึ่งสิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุให้พัวพันอยู่ในกิเลสตัณหา อันเป็นเครื่องนำให้เกิดแล้วเกิดอีก และมีจุดมุ่งหมายกวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กุศล เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นสภาพธรรมที่ตัดซึ่งอกุศลธรรม กุศลเป็นนามธรรม หมายถึง สภาพจิตใจที่ดีงาม ซึ่งจิตใจที่ดีงามนี้ทำให้เกิดผลที่เป็นสุข, จิตใจที่ดีงามย่อมเป็นเหตุ ทำให้ได้รับผลที่ดีงามด้วย ฉะนั้น ถ้าใครมีจิตใจที่ดีงามโดยที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ขณะนั้นเป็นกุศล รวมความว่า ขณะใดที่จิตประกอบด้วยเจตสิกที่ดีงาม เช่น ศรัทธา สติ ปัญญา เป็นต้น และไม่ประกอบด้วยเจตสิกที่ไม่ดี คือไม่มีกิเลส คือ ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ
ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎก อธิบายไว้ในศัพท์คำว่า กุศล ไว้ดังนี้ ครับ
[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 151
กุศลศัพท์ใช้ในอรรถว่า ความไม่มีโรค ความไม่มีโทษ ความฉลาด และมีสุขเป็นวิบาก.
สภาวะที่ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ยังปาปกธรรมอันบัณฑิตเกลียดให้ไหว ให้เคลื่อนไป ให้หวั่นไหว คือให้พินาศ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ธรรมแม้เหล่านี้ ย่อมตัดส่วนสังกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ที่ถึงส่วนทั้งสอง คือ ที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิด เหมือนหญ้าคาย่อมบาดส่วนแห่งมือที่ลูบคมหญ้าทั้งสอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ย่อมตัด คือ ย่อมทำลายอกุศลเหมือนหญ้าคา ฉะนั้น.
ซึ่งควรอ่านคำอธิบายเพิ่มเติมของท่านอาจารย์สุจินต์ใน กุศลศัพท์ดังนี้ ครับ
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์
เรื่อง กุศล
สำหรับความหมายของคำว่า "กุศล" ข้อความในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ ได้แสดงความหมายของกุศลศัพท์ มีข้อความว่า
กุศลศัพท์ใช้ในอรรถว่า ความไม่มีโรค ความไม่มีโทษ ความฉลาด และมีสุขเป็นวิบาก. คือ ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นกุศลในขณะนั้นเป็นสภาพที่ไม่มีโรค คือไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ในขณะนั้น เมื่อไม่มีกิเลส ก็ย่อมไม่มีโทษ ไม่เป็นโทษทั้งตนเองและกับบุคคลอื่น ขณะใดที่กิเลสเกิดขึ้น ถ้าไม่พิจารณาว่าขณะนั้นเป็นโรค โรคทางกายเห็นได้ เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ไม่มีใครต้องการเลย แต่โรคทางใจไม่เคยเห็น แต่ถ้าทราบว่าขณะใดที่กิเลสเกิด ขณะนั้นเป็นโรค เพราะฉะนั้น จิตนี้มีโรคหลายอย่าง แล้วแต่ว่าจะเป็นโรคโลภะ โรคโทสะ โรคอิสสา โรคมัจฉริยะ ก็มีประเภทของโรคต่างๆ ซึ่งก็ปรากฏอาการได้จากคำพูดหรือว่าการกระทำ
แต่สำหรับ กุศลธรรมนั้น ไม่มีโรค คือไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีโทษ นอกจากนั้น สำหรับกุศลบางประเภทก็เป็นความฉลาด และกุศลทุกประเภทมีสุขเป็นวิบาก
สภาวะที่ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ยังปาปกธรรมอันบัณฑิตเกลียด ให้ไหว ให้เคลื่อนไป ให้หวั่นไหว คือให้พินาศ. อีกอย่างหนึ่ง สภาวธรรมใด ย่อมผูกพันโดยอาการที่บัณฑิตเกลียด สภาวธรรมนั้น ชื่อว่า กุสะ ธรรม ที่ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ย่อมถอนขึ้น คือย่อมตัดกุสะ กล่าวคืออกุศลเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง ญาณ ชื่อว่า กุสะ เพราะทำอกุศลอันบัณฑิตเกลียด ให้สิ้นสุด หรือเบาบาง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า อันญาณชื่อกุสะนั้นพึงตัด คือ พึงถือเอา พึงให้เป็นไปทั่วด้วยกุสญาณนั้น.
[พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 153]
นี่คือทุกๆ ขณะที่เป็นกุศล แม้ในขณะนี้
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ธรรมแม้เหล่านี้ ย่อมตัดส่วนสังกิเลสที่ถึงส่วนทั้งสอง คือ ที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิด เหมือนหญ้าคาย่อมบาดส่วนแห่งมือที่ลูบคมหญ้าทั้งสอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กุศล เพราะอรรถว่า ย่อมตัด คือ ย่อมทำลายอกุศลเหมือนหญ้าคา ฉะนั้น.
ในบรรดาธรรมทั้งสามนั้น กุศลมีความไม่มีโทษและมีวิบากเป็นสุขเป็นลักษณะ. อกุศลมีโทษและมีทุกข์เป็นวิบากเป็นลักษณะ อัพยากตะไม่มีวิบากเป็นลักษณะ.
นี่คือสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
ส่วน คำว่า บุญ หมายถึง สภาพธรรม ชำระ ขัดเกลาสันดาน หรือเป็นสภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาด (เพราะโดยปกติแล้วจิตสกปรก ด้วยอำนาจของอกุศลธรรม) จากที่เป็นอกุศล ก็ค่อยๆ เป็นกุศลขึ้น ในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะที่จิตเป็นกุศล เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมเจริญความสงบของจิต และเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา หากพิจารณาอรรถ คำว่า บุญ ที่ว่า สภาพธรรมที่ชำระขัดเกลาสันดาน หรือขัดเกลาจิตใจให้สะอาดจากกิเลส แล้วธรรมอะไรที่ทำให้จิตปราศจากกิเลส ชำระสันดาน ชำระจิตได้ หากไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายดี คือต้องเป็นสภาพธรรมที่ปราศจากกิเลส ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมนั้นก็ต้องเป็นกุศลจิต กุศลธรรมเช่นกัน
เพราะฉะนั้น คำว่า บุญ และ กุศล ต่างกันแต่เพียงพยัญชนะ แต่อรรถความหมาย ก็สามารถอธิบาย และมีความหมายเหมือนกันได้ เพียงแต่ว่าที่ใช้ชื่อต่างกัน ก็เพราะแสดงถึงนัยของเทศนาของพระพุทธเจ้า ที่แสดงลักษณะของสภาพธรรมที่ดีงาม ว่าทำหน้าที่ได้หลายอย่าง เช่น กุศล คือธรรมที่ไม่มีโรค ไม่มีโทษ ขัดเกลากิเลส บุญ ก็เป็นทำหน้าที่ชำระสันดาน คือชำระจิตให้ปราศจากกิเลส เพราะฉะนั้น ทั้ง บุญ และกุศล ต่างก็เป็นธรรมฝ่ายดีทั้งสองประการ ครับ
ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 142
กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษา บุญนั่นแล อันสูงสุดต่อไปซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ ความประพฤติสงบ ๑ เมตตาจิต ๑
บิณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ ประการอันเป็นเหตุเกิดแห่งความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข.
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 150
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุญฺเมว โส สิกฺเขยย ความว่า กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษา พึงดำรงมั่น พึงเสพธรรมเป็นกุศล ๓ อย่าง อันได้ชื่อว่า บุญ เพราะให้เกิดผลน่าบูชา และเพราะชำระสันดานของตน.
บทว่า อายตคฺค ความว่า บุญ ชื่อว่า อายตคฺค เพราะมีผลไพบูลย์ มีผลยิ่งใหญ่ หรือสูงสุดต่อไป เพราะมีผลน่ารักน่าพอใจ หรือเพราะเลิศด้วยความเจริญ คือ ด้วยความยิ่งใหญ่และสูงสุดด้วยปัจจัย มีโยนิโสมนสิการเป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง บุญ ชื่อ อายตคฺค เพราะเลิศ คือ เป็นประธานทางความเจริญ อันเป็นผลน่าพอใจ. อธิบายว่า ต่อจากนั้นก็มีสุขเป็นกำไร คือ มีสุขเป็นวิบาก.
ท่านถามว่า ก็บุญนั้นเป็นไฉน และกุลบุตรพึงศึกษาบุญได้อย่างไร. ตอบว่า พึงบำเพ็ญทาน สมจริยา และเมตตาจิต.
จะเห็นนะครับว่า ข้อความในพระไตรปิฎก แสดงถึง กุศล ๓ คือ ทาน ศีล และการเจริญเมตตาจิต ก็คือ บุญ นั่นเองครับ และข้อความในพระไตรปิฎกก็แสดงความหมายของบุญด้วย
ความหมายของบุญ
๑. บุญ เป็นสภาพธรรมให้ผลที่เลิศ
๒. บุญ เป็นสภาพธรรมที่ชำระสันดาน คือ ขัดเกลากิเลสที่เกิดที่จิต
๓. บุญ เป็นสภาพธรรมที่ให้ผลที่ดี และให้ผลไพบูลย์
๔. บุญ เป็นสภาพธรรมที่มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก
จะเห็นนะครับว่า จากความหมายของ บุญ ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสอดคล้องกับ ความหมายของคำว่า กุศล กุศลมีดังนี้ ความหมายของกุศล
๑. ความไม่มีโรค
๒. ความไม่มีโทษ
๓. ความฉลาด
๔. มีสุขเป็นวิบาก
๕. ชำระขัดเกลากิเลส
ซึ่ง บุญ ก็เป็นสภาพธรรมที่ชำระล้างสันดาน ก็คือ ขัดเกลากิเลส ดังเช่นกุศล บุญ เป็นสภาพธรรมที่มีสุขเป็นผล เป็นกำไร ให้ได้ผลที่ดี ก็ตรงกับความหมายของกุศลที่มีสุขเป็นวิบาก
นี่แสดงถึง คำว่า บุญ และ กุศล ที่มีความหมายเหมือนกัน สามารถใช้กันได้ ต่างกันที่พยัญชนะ ครับ
ส่วนข้อความที่ผู้ถามยกมาที่ว่า
คำว่า บุญ มีความหมายว่า ทำให้ฟู หรือพองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น ส่วนคำว่า กุศล นั้นแปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป โดยความหมายเช่นนี้ เราย่อมเห็นได้ว่า เป็นของคนละอย่างหรือเดินคนละทาง บุญเป็นสิ่งที่ทำให้ฟูใจ พอใจ ชอบใจ เช่น ทำบุญให้ทานหรือรักษาศีลก็ตาม แล้วก็ฟูใจ อิ่มเอิบ หรือแม้ที่สุดแต่รู้สึกว่าตัวได้ทำสิ่งที่ทำยาก
ในกรณีที่ทำบุญเอาหน้า เอาเกียรติ อย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่าได้บุญเหมือนกัน แม้จะเป็นบุญชนิดที่ไม่สู้จะแท้ หรือแม้ในกรณีที่ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อเอาบุญกันจริงๆ ก็ยังอดฟูใจไม่ได้ว่า ตนจะได้เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มีความปรารถนาอย่างนั้นอย่างนี้ ในภพนั้น ภพนี้ อันเป็น ภวตัณหา นำไปสู่ การเกิดในภพใหม่ เพื่อเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามแต่ตนจะปรารถนา ไม่ออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารได้ แม้จะไปเกิดในโลกที่เป็นสุคติก็ตาม
- บุญ ไม่ได้มีความหมายว่า ฟูใจ แต่มีความหมายว่า ชำระสันดาน เพราะ หากเข้าใจว่าเป็นการฟูใจ อิ่มเอิบใจ ก็จะสำคัญโสมนัสเวทนา ความรู้สึกเป็นสุข ที่เกิดกับโลภะ ว่าเป็นบุญได้ ซึ่งขณะที่อยากทำบุญ ต้องการบุญ หรืออิ่มเอิบใจด้วยโลภะ พอใจในบุญที่ทำ ไม่ใช่บุญ แต่เป็นอกุศลจิตที่เป็นโลภะที่เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนา ไม่ใช่บุญ เพราะไม่ได้ชำระสันดาน ชำระขัดเกลากิเลส แต่กลับเพิ่มกิเลสครับ บุญ จึงเป็นอกุศลไม่ได้เลย แต่บุญ เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี มีกุศลจิต กุศลธรรม ครับ
เพราะฉะนั้น พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง จึงควรเข้าใจว่า ที่ใช้สองคำ คือ บุญ และ กุศล เพราะโดยนัยธรรมเทศนาที่แตกต่างกัน แต่โดยอรรถ ความหมาย ก็ไม่ต่างกันตามที่กล่าวมาทั้งหมด เพราะ บุญ ก็คือ กุศล และกุศล ก็คือ บุญ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป หรือแม้กระทั่งในขณะที่หลับสนิท ขณะนั้น บุญไม่เกิด กุศลไม่เกิด แต่เมื่อใดที่สติเกิด ระลึกได้เป็นไปในกุศลประการต่างๆ กล่าวคือ ระลึกเป็นไปใน ทาน ศีล ความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญา เมื่อนั้นบุญย่อมเจริญซึ่งไม่จำกัดเลย
ที่ควรพิจารณา คือ บุญ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะทานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ ที่เป็นบุญกิริยาวัตถุมี ๑๐ ประการ คือ
๑. ทาน การให้วัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้รับ
๒. ศีล ได้แก่ ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่เป็นกุศล คือ ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน
๓. ภาวนา การอบรมจิตให้สงบ คือ สมถภาวนา ๑ และการอบรมให้เกิดปัญญา วิปัสสนาภาวนา ๑
๔. อปจายนะ การอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม ก็เป็นบุญ เพราะว่าจิตใจในขณะนั้นไม่หยาบกระด้างด้วยความถือตัว
๕. เวยยาวัจจะ การสงเคราะห์แก่ผู้ที่ควรสงเคราะห์ ไม่เลือกสัตว์ บุคคล ผู้ใดที่อยู่ในสภาพที่ควรสงเคราะห์ช่วยเหลือให้ความสะดวก ให้ความสบาย ก็ควรจะสงเคราะห์แก่ผู้นั้น แม้เพียงเล็กน้อยในขณะนั้น ก็เป็นกุศลจิต เป็นบุญ
๖. ปัตติทาน การอุทิศส่วนกุศล ให้บุคคลอื่นได้ร่วมอนุโมทนา ซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลจิตของบุคคลอื่นเกิดได้
๗. ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาแก่ผู้อื่นที่ได้กระทำกุศล เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคนพาล ไม่สามารถจะอนุโมทนาได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ได้ทราบการกระทำบุญกุศลของบุคคนอื่น ก็ควรเป็นผู้ที่มีจิตยินดี ชื่นชม อนุโมทนา ในกุศลกรรมของบุคคลอื่นที่ตนได้ทราบนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตระหนี่แม้แต่จะชื่นชมยินดีในบุญกุศลของบุคคลอื่น
๘. ธัมมเทศนา การแสดงธรรมแก่ผู้ต้องการฟัง ไม่ว่าเป็นญาติ มิตรสหาย หรือบุคคลใดก็ตาม ซึ่งสามารถจะอนุเคราะห์ให้เขาได้เข้าใจเหตุผล ในพระธรรมวินัย ก็ควรที่จะได้แสดงธรรมแก่บุคคลนั้น
๙. ธัมมัสสวนะ การฟังธรรม เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรม ตรงตามความเป็นจริง ก็เป็นบุญ
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การกระทำความเห็นให้ตรง ตามสภาพธรรม และเหตุผล ของสภาพธรรมนั้นๆ ธรรมใดที่เป็นกุศล ก็ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ว่า เป็นกุศลจริงๆ ธรรมใดที่เป็นอกุศล ก็ให้พิจารณากระทำความเห็นให้ตรงตามสภาพธรรมจริงๆ ว่า สภาพธรรมนั้นเป็นอกุศล ไม่ปะปนกุศลธรรมกับอกุศลธรรม
พระธรรมที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา มีความละเอียด ลึกซึ้ง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ศึกษา และมีความเข้าใจ ไปตามลำดับอย่างแท้จริง เพราะทุกส่วนของคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงนั้น เป็นไป เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งกล่าวโดยอรรถแล้ว บุญ กับ กุศล อรรถอย่างเดียวกัน เพราะแสดงถึงสภาพธรรมที่ดีงามทั้งหมด แม้พยัญชนะจะต่างกันก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าจะมุ่งหมายถึงกุศลระดับใด บุญระดับใด นั่นเอง ถ้าเป็นบุญสูงสุด กุศลสูงสุด แล้ว ต้องเป็นในระดับโลกุตตระ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น
สภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาดจากอกุศล เกิดขึ้นเมื่อใด ก็ขจัดขัดเกลาอกุศลธรรม เป็นเรื่องของ บุญ, กุศล จากที่เป็นอกุศล ก็ค่อยๆ เป็นกุศลขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากขณะที่จิตเป็นกุศล เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมเจริญความสงบของจิต และเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะไปทำบุญ เพราะบุญอยู่ที่สภาพจิต จิตเป็นกุศลก็เป็นบุญ ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตเป็นอกุศลก็ไม่ใช่บุญ
ดังนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการขัดเกลากิเลส ก็จะไม่ละเลยโอกาสในการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะถ้ากุศลไม่เกิด ก็จะเป็นโอกาสให้ อกุศลเกิด พอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จะเรียกคำไหนก็ได้ บุญกับกุศลก็เหมือนกัน เช่น คำว่ากินข้าวหรือทานข้าว ความหมายก็เหมือนกัน บุญ หรือ กุศล ก็เป็นธรรมที่ดีงาม ให้ผลเป็นสุข ไม่มีโทษ ไม่มีภัยกับใคร เพราะฉะนั้น การฝังทรัพย์ด้วยการทำบุญ เจริญกุศล ไม่ว่าโจรหรือใครก็ไม่สามารถเอาไปได้ค่ะ
กราบขอบพระคุณ อาจารย์ ทุกท่านอย่างสูง และ พี่วรรณี กะ ผู้ร่วมสนทนา ด้วยครับ
อนุโมทนากุศลที่ทุกท่านได้เจริญแล้ว