คำว่า รู้แล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 164
คำว่า รู้แล้ว
ความว่า รู้ ทราบ …
เพราะไม่ถือมั่นโดยส่วนเดียว คือรู้ ทราบ พิจารณา เทียบเคียง ให้แจ่มแจ้ง ทำให้แจ้งแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา จึงเป็นผู้พ้นวิเศษ พ้นรอบ พ้นวิเศษดี โดยความพ้นวิเศษ เพราะไม่ถือมั่นโดยส่วนเดียว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่ารู้แล้ว เป็นชื่อของปัญญา แต่ปัญญาก็มีหลายระดับ ปัญญาขั้นการฟัง ปัญญาขั้นพิจารณา ปัญญาในขั้นสมถภาวนา ปัญญาชั้นสติปัฏฐาน ปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณ ปัญญามรรคจิต ผลจิต เป็นต้น แต่เมื่อเป็นปัญญาที่รู้แล้วในที่นี้ มุ่งหมายถึง ปัญญาระดับสูง ที่ไม่เพียงขั้นการฟังให้เข้าใจ แต่เป็นปัญญาที่ประจักษ์ตัวจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา อันเป็นปัญญาระดับวิปัสสนาญาณ เป็นต้น ครับ
แต่กว่าจะถึง ปัญญาที่รู้แล้วในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็จะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นทีละน้อย และจะทำหน้าที่ปรุงแต่งเอง โดยไม่มีเรา ที่จะไปพยายามให้รู้ และในอนาคตอีกไกล ก็จะถึงการรู้ความจริงดังเช่นพระอริยสาวกทั้งหลายได้รู้เช่นกัน ครับ
สำคัญที่การเริ่มจาก เหตุที่ถูกค้อง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ไปทำอย่างอื่น
ขออนุโมทนาคุณหมอ และ ทุกท่าน ครับ