การบรรลุธรรม
กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน
ในครั้งพุทธกาล มีผู้บรรลุธรรมจำนวนมาก บางท่านได้ฟังธรรมแล้ว ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์
จึงอยากเรียนถามว่า การที่ท่านเหล่านั้นบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านเกิดอรหัตตมัคคจิต ต่อด้วยอรหัตตผลจิตเลย หรือ ท่านไล่ตั้งแต่โสดาปัตติมัคคจิตไปจนถึงอรหัตตผลจิตครับ?
เช่นเดียวกับผู้ที่ท่านบรรลุธรรมต่ำลงมา ตั้งแต่พระอนาคามี และพระสกิทาคามี โดยฟังพระธรรมครั้งเดียว ท่านก็ถึงความเป็น พระอนาคามี พระสกิทาคามีเลย หรือ ท่านต้องเกิดโสดาปัตติมัคคจิตก่อน ไล่ขึ้นไปจนถึงลำดับของท่านครับ?
และที่เป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร เนื่องด้วยอย่างไรครับ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับการบรรลุธรรม จนถึงความเป็นพระอรหันต์ การบรรลุธรรมนั้นจะต้องเป็นไป ตามลำดับ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน กีฏาคีรีสูตรว่า เรากล่าวว่า การบรรลุธรรม ไม่ใช่ดังเช่น กบที่ก้าวกระโดด คือ ไม่ใช่ว่า จากปุถุชน แล้วก็กลายเป็นพระอรหันต์ทันที แต่จะต้องเป็นไปตามลำดับ คือ จะต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกก่อน นั่นคือ ถึงความเป็น พระโสดาบันก่อน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ ถึงความเป็นพระอรหันต์ตามลำดับ
แม้แต่พระพุทธเจ้า ก่อนจะเป็น พระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ นั่งที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นปุถุชนอยู่ เมื่อพระองค์อบรมปัญญา เจริญอริยมรรค มีองค์ ๘ ก็เกิดวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ จนถึง โสดาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้น และ โสดาปัตติผลจิต ก็เกิดต่อทันที และ ก็อบรมปัญญาเป็นไปตามลำดับ สกทาคามิมรรคจิตเกิด สกทาคามิผลจิตเกิดต่อ อนาคามิมรรคจิตเกิด อนาคามิผลจิตเกิดต่อ อรหัตตมรรคจิตเกิดและอรหัตตผลจิตเกิดต่อ ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า แต่เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่นาน จิตก็เกิดดับรวดเร็วถึงความเป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับ สาวกของพระพุทธองค์ เมื่อฟังพระธรรม เป็นปุถุชนอยู่ แต่ขณะที่ฟัง ก็เกิดการ เจริญอริยมรรค เจริญวิปัสสนา เกิดวิปัสสนาญาณ จนเกิด โสดาปัตติมรรคจิตก่อนเสมอ ... จนถึงอรหัตตผลจิตถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่เพียงช่วงเวลาไม่นาน ก็เกิดจิตเกิดดับรวดเร็ว ได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ
แม้เป็นผู้ที่จะเป็น พระอนาคามี พระสกทาคามี ก็จะต้องอบรมปัญญา ผ่านวิปัสสนาญาณ ๑๖ ขั้น โสดาปัตติมรรคจิตจะต้องเกิดก่อน เป็นไปตามลำดับ ... จนถึงสกทาคามิผลจิต ถึงความเป็นพระสกทาคามี หรือ อนาคามิผลจิต ถึงความเป็นพระอนาคามี ด้วยเหตุผลที่จะต้องเกิดโสดาปัตติผลจิตก่อน ก็ตามที่กล่าวไว้แล้วครับ ในกีฏาคีรีสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบรรลุอรหัต ไม่ใช่กบก้าวกระโดด แต่จะต้องเป็นไปตามลำดับ คือ ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก มีพระโสดาบันก่อน ครับ และ ในกีฏาคีรีสูตรก็แสดงเบื้องต้นก่อนจะถึงความเป็นพระอริยบุคคลมีพระโสดาบัน ก็จะต้องเริ่มจากการคบสัตบุรุษ การฟังสัทธรรม ... ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นเบื้องต้นที่จะทำให้เกิดปัญญาขั้นการฟัง จนถึงปัญญาขั้นสติปัฏฐาน วิปัสสนาญาณ ก็ล้วนแล้วแต่เริ่มจากการศึกษาเป็นลำดับ
สมกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน คณกโมคคัลลานะสูตร ว่า การศึกษาของเราเป็นไปตามลำดับ แม้การจะสร้างเรือนชั้น ๒ ก็จะต้องสร้างเรือนชั้น ๑ ก่อนเสมอ ครับ เพราะ หากไม่มีปัญญาเบื้องต้น และ เป็นไปตามลำดับแล้ว ย่อมไม่ถึงการบรรลุธรรม ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดงโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน, ท่านพระสารีบุตรเถระ เมื่อครั้งที่ยังเป็นอุปติสสปริพาชก ได้ฟังธรรมจากท่านพระอัสสชิ (หนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์) ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านพระพาหิยทารุจีริยะ ได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยธรรมเพียงสั้นๆ ทำให้ท่านได้ตรัสรู้อย่างเร็วพลัน สำเร็จเป็นพรอรหันต์ เป็นต้น
จะมองเพียงชาตินั้นไม่ได้ เพราะก่อนที่ท่าน จะมีวันดังกล่าว คือ วันที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เมื่อย้อนกลับไปในชาติก่อนๆ ท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาแล้วทั้งนั้น "ก่อนจะมีวันนั้นได้ ก็ต้องมีวันนี้ คือ วันที่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ"
เมื่อมรรคจิตเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้ผลจิต เกิดสืบต่อทันที ไม่มีจิตอื่นคั่นเลย นี้คือความเป็นจริงของธรรม ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
จะเห็นได้ว่าพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้นั้น ก็จะต้องเป็นผู้ได้สะสมอุปนิสัยที่ดี ได้สดับตรับฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สะสมปัญญามาเป็นเวลาอันยาวนานด้วยกันทั้งนั้น ดังข้อความเตือนสติ ที่สรุปได้จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ตอนหนึ่ง มีว่า "ไม่มีใครฟังพระธรรมเพียงครั้งเดียวแล้วจะรู้ธรรมได้ในทันทีทันใด พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ล้วนเป็นผู้สะสมเหตุที่ดี คือ สะสมการฟังพระธรรม เป็นผู้สดับตรับฟังพระธรรม มามาก ทั้งนั้น" ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมทีเดียวเป็นพระอรหันต์ แม้แต่อัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศทางด้านปัญญา ท่านได้ฟังจากท่านพระอัสสชิ ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็ได้บรรลุไปตามลำดับจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ค่ะ
* * * ถูกต้องครับ การบรรลุธรรม ต้องเป็นไปตามลำดับ ไม่มีการข้ามขั้นตอน แม้แต่พระศาสดาของเราเอง ... แต่
เวลาที่ใช้ในการลำดับขั้นตอนไม่เท่ากัน พระศาสดาใช้เวลาแค่อึดใจเดียว ในการบรรลุธรรมตั้งแต่ขั้นโสดา จนถึง อรหันต์ ...
แต่บางท่านอาจจะใช้เวลานานเป็นปี เป็นชาติ เป็นกัปป์ ก็ได้
อนุโมทนาสาธุครับ
การบรรลุมรรคผลย่อมเกิดจากการปฏิบัติตามลำดับ
"ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมอันอิงอาศัยกันเกิดฉันใด
สมถะ และ วิปัสสนาย่อมเป็นธรรมอันอิงอาศัยกันเกิด ฉันนั้น"
การบำเพ็ญเพียร สมถสมาธิภาวนา หรือ สมถกรรมฐาน ย่อมอาศัยการบำเพ็ญเพียร เป็นลำดับขั้น ย่อมอาศัยองค์ธรรม เพื่อการบรรลุสัมมาสมาธิ เช่น ปฐมฌาณ ย่อมอาศัยองค์ธรรมคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และ เอกัคคตาแห่งจิต จึงบังเกิดความสงบด้วยสัมมาสมาธิในปฐมฌาน นอกจากอาศัยองค์ธรรมเพื่อความบังเกิดขึ้นของสัมมาสมาธิแล้ว ต้องอาศัยความเพียรอันยิ่ง ต้องอาศัยศรัทธาอันยิ่ง ต้องอาศัยสัมมาสติอันยิ่ง ต้องอาศัยปัญญาอันยิ่ง หรือต้องอาศัยอินทรีย์ ๕ เพื่อความสำเร็จ ต้องอาศัยสัมมัปธาน ๔ เพื่อความสำเร็จ ต้องอาศัยเวลาอันยาวนาน สั้นเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ฉันใด วิปัสสนาสมาธิภาวนา หรือวิปัสสนากรรมฐานย่อมอาศัยเวลาการบำเพ็ญเพียรเป็นลำดับเช่นเดียวกัน ย่อมอาศัยองค์ธรรมเพื่อความบรรลุวิปัสสนาแห่งจิต ย่อมอาศัยอินทรีย์ ๕ สัมมัปธาน ๔ และหลักธรรมอื่นเพื่อความบรรลุวิปัสสนาแห่งจิต เช่นเดียวกัน และย่อมอาศัยเวลาอันยาวนาน สั้นเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่นเดียวกับสมถสมาธิภาวนา หรือสมถกรรมฐาน ฉันนั้น มิได้บรรลุขึ้นมาเพียงครั้งเดียวตามโวหารธรรม ปิ๊งแวบ ...
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัยเวลา และการเจริญวิปัสสนา โดยลำดับนับเป็นเวลา ๖ พรรษา จึงทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเหตุนี้ หากบุคคลเหล่าใดที่เข้าใจไปว่า การบรรลุมรรคผลเพียงชั่วข้ามคืน เพราะอาการ ปิ๊งแวบ ย่อมเป็นไปไม่ได้
บุคคลผู้บรรลุมรรคผลใดด้วยอาการ ปิ๊งแวบ ย่อมอาศัย กาลเวลาและเจริญวิปัสสนาแห่งจิตโดยลำดับ จนกระทั่งถึงความพร้อมบริบูรณ์ของมรรคญาณนั้นเป็นเหตุ มรรคผลย่อมประจักษ์แจ้งเป็นธรรมดา ....