สังขยา
การนับในภาษาบาลี มีหลักอย่างไรครับ และการเขียนตัวเลขต่างๆ ในภาษาบาลี เพราะว่า ก่อนพระท่านเทศน์ ท่านบอกศักราชก่อน แต่ตัวเลขหน่อยเดียว ภาษาบาลี กลับยืดยาว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาต ร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ
สังขยา หมายถึง การกำหนดนับ มีทั้งการนับที่เป็นปกติ (ปกติสังขยา) เช่น เอก - หนึ่ง, ทฺวิ - สอง, ติ - สาม, จตุ - สี่, ปญฺจ - ห้า เป็นต้น และ นับเป็นชั้นๆ (ปูรณสังขยา) คือ ปฐม - ที่หนึ่ง, ทุติย - ที่สอง, ตติย - ที่สาม, จตุตถ - ที่สี่, ปญฺจม - ที่ห้า เป็นต้น
เหมือนกันคำพูดที่ว่า บุตรคนที่ ๑ ครูคนที่ ๑ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องของภาษาแต่ละภาษา
สำหรับในภาษาบาลี ไม่มีการเขียนเป็นตัวเลข แต่มีคำที่บ่งบอกให้รู้ว่าหมายถึงจำนวนเท่าใด ซึ่งก็คือ การกำหนดนับที่เป็นสังขยา นั่นเอง
สำหรับการกล่าวธรรมแสดงธรรม สนทนาธรรม นั้น เมื่อถึงกาละอันสมควร ก็สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไร โดยไม่ต้องมีการกล่าวอะไรให้ยืดยาวด้วยถ้อยคำที่ไม่รู้จัก เพราะประโยชน์จริงๆ อยู่ที่ความเข้าใจถูก เห็นถูก ในธรรมตามความเป็นจริง
พระธรรมที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นปรากฏเป็นไป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกวัน ทุกขณะ เพื่อให้พุทธบริษัทเห็นโทษภัยของอกุศลธรรม และเห็นถึงภัยของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมเจริญ จนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้โดยเด็ดขาด สังสารวัฏฏ์ก็จะไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้นถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง พุทธบริษัทก็จะไม่เห็นโทษภัยของอกุศลธรรมและภัยของสังสารวัฏฏ์แล้วก็จะไม่มีการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แต่เพราะพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณต่อสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์จึงทรงแสดงธรรม เพื่อปลดเปลื้องหมู่สัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ โดยที่พระองค์ไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย จากการแสดงธรรมของพระองค์
พระธรรม เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ดังนั้น ผู้แสดงก็ควรที่จะแสดงแต่ความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดง ด้วยการตั้งจิตไว้ชอบ เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง ผู้ศึกษา เป็นสำคัญ ไม่ใช่แสดงเพื่อหวังลาภ สักการะ สรรเสริญ เป็นต้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การนับต่างๆ ที่เรียกชื่อโดยนัยต่างๆ สำคัญที่สุด ผู้ที่ศึกษาธรรม ต้องกลับมาสู่ความเข้าใจเบื้องต้น คือความเข้าใจพระธรรม ที่จะเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส และละคลายความไม่รู้ ในเรื่องสภาพธรรม เพราะการละคลายความไม่รู้ ในเรื่องราวทางโลกที่เป็นสมมติบัญญัติ ไม่สามารถทำให้ละคลายกิเลสได้
ดังนั้น ควรเข้าใจความจริงว่า การนับโดยนัยต่างๆ ประโยชน์นั้นเพื่อเข้าใจเรื่องราวในแต่ละส่วนแต่ละเรื่องที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย ตามกาลเวลา แต่ประโยชน์ที่พุทธบริษัททั้งหลายเมื่อได้อ่านพระธรรมแม้แต่เรื่องการนับ คือการนับได้ เพราะมีเวลา และเวลามีได้ก็เพราะ อาศัยสภาพธรรมที่มีจริง นั่นคือเพราะอาศัยการเกิดขึ้นและดับไปของจิตและเจตสิก ที่เกิดขึ้นและดับไปแต่ละขณะอย่างรวดเร็ว จึงมีการสมมติบัญญัติ เป็นการนับเวลาโดยนัยต่างๆ นี่แสดงให้เห็นว่า โลกมีได้ เวลามีได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปได้ เพราะอาศัยสภาพธรรมที่มีจริง ไม่มีสัตว์ บุคคล เปลี่ยน มีแต่ธรรมเป็นไปเท่านั้น
การนับจึงเป็นการสมมติให้เข้าใจความเป็นไปของเรื่องราว แต่สิ่งที่ควรเข้าใจคือการนับมีได้อย่างไร นั่นคืออาศัยสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปที่เป็นธรรมเท่านั้นครับ ประโยชน์ก็จะเป็นไปเพื่อละคลายความยึดถือว่ามีสัตว์ บุคคล แม้แต่ได้ศึกษาในเรื่องการนับ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา