ไม่มีทุกขกายวิญญาณจิต

 
นิรมิต
วันที่  8 พ.ย. 2555
หมายเลข  22022
อ่าน  1,164

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

คือเคยได้ยินข่าวว่า ทางการแพทย์ได้พบผู้ป่วย ที่ไม่มีประสาทรับรู้อาการเจ็บหรือปวด (ไม่แน่ใจว่าจริงแท้ประการใด และมีอาการรู้สึกเจ็บนิดๆ เมื่อย หรือทุกขกายวิญญาณอื่นๆ บ้างหรือไม่ เพราะข่าวค่อนข้างหลายปีแล้ว)

ทำให้มีความสงสัยว่า ในเมื่อมีกายปสาทะ เกิดในมนุษย์ภูมิ แต่ไม่สามารถรับรู้ทุกขกายวิญญาณได้ ข้อนี้เป็นไปได้จริงดังข่าวว่าหรือไม่ แล้วควรจะเป็นด้วยกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังมีกายปสาทะที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วกายนั้น เมื่อถึงคราวที่กรรมให้ผล ย่อมทำให้มีการได้รับผลของกรรมทางกายที่เป็นสุขบ้าง (ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม) ที่เป็นทุกข์บ้าง (ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม) ตามควรแก่กรรมที่ได้กระทำแล้ว จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม และเมื่อได้ศึกษาพระธรรม ก็จะเข้าใจว่า จิตไม่ได้มีเพียงขณะเดียวหรือประเภทเดียว มีจิต เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย จิตจะไม่เกิดพร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะ แต่เกิดทีละหนึ่งขณะ ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย จิตที่เกิดขึ้นรับผลของกรรมทางกาย ก็เป็นเพียงขณะหนึ่งเท่านั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หลักๆ แล้วก็เพราะมีกรรมเป็นปัจจัย จึงทำให้ได้รับผลของกรรมทางกาย และยังมีปัจจัยอื่นอีกหลายปัจจัยด้วย คือ มีโผฏฐัพพะซึ่งเป็นอารมณ์ของกายวิญญาณ มีกายปสาทะ ที่เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้ายังไม่มีเหตุให้กายวิญญาณเกิดก็ย่อมจะไม่เกิด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ปราศจากจิตแม้แต่ขณะเดียว จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 10 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง กายปสาทรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม ซึ่งเมื่อสัตว์เกิดก็จะต้องมีรูปที่เกิดจากกรรม เกิดขึ้นด้วยในขณะนั้น มีกายปสาทรูป เป็นต้น ซึ่งในความละเอียดของธรรมนั้น ผู้ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด ในความเป็นจริงแล้ว พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก เมื่อเกิดมาจะต้องมีกายปสาทรูป แต่ความรู้สึกเจ็บ อาจแตกต่างกันได้ คืออาจจะมาก อาจจะน้อย เพราะความแตกต่างกันของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมให้ผล

ขอยกตัวอย่างให้เห็นถึงความแตกต่างของระดับการรับรู้นะครับ ยกตัวอย่าง การเห็นทางตา ขณะนี้ ลืมตา ยังมีจักขุปสาทรูป มีการกระทบของสี ทำให้เกิดการเห็น ขณะที่เห็น เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ก็แล้วแต่ว่ากุศลกรรมหรืออกุศลกรรมให้ผล ทำให้เห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ก็เห็นเป็นแสงสว่างชัดเจนในขณะนี้ นี่ลืมตาอยู่ ครับ แต่เมื่อหลับตา บางคนก็บอกว่าไม่เห็นแล้ว แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ ก็ยังเห็นอยู่ แต่เห็นสีแบบมืดๆ คือเห็นน้อยมาก เพราะขาดปัจจัยคือแสงสว่าง แต่ก็ยังมีแสงสว่างและก็ยังมีจักขุปสาทรูป มีการกระทบของสี และทำให้มีการเห็นแม้เพียงเล็กน้อยครับ นี่แสดงว่าเหมือนว่าจะไม่เห็นเลย ตามความคิดนึกของตนเองใช่ไหมครับ แต่ในความเป็นจริง เห็นแล้วโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ความคิดนึกของตนเองก็อย่างหนึ่ง ที่สำคัญว่าไม่เห็น แต่สัจจะก็อีกอย่างหนึ่ง คือมีการเห็นเพียงเล็กน้อย ฉันใด ในทางทวารอื่นๆ เช่น ทางหู จมูก ลิ้น กาย ก็เช่นเดียวกัน ในทางหู ก็มีโอกาสได้ยินเสียงที่แผ่วเบามาก แต่ก็ได้ยิน คือโสตวิญญาณจิตเกิดแล้ว แต่เบามากจนเหมือนกับว่า เหมือนได้ยินอะไรบางอย่างจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ในสัจจะก็ได้ยิน และเมื่อกลับมาสู่คำถามที่ว่า

คือเคยได้ยินข่าวว่า ทางการแพทย์ ได้พบผู้ป่วยที่ไม่มีประสาทรับรู้อาการเจ็บหรือปวด (ไม่แน่ใจว่าจริงแท้ประการใด) และมีอาการรู้สึกเจ็บนิดๆ เมื่อย หรือทุกขกายวิญญาณอื่นๆ บ้างหรือไม่

- สำหรับอาการเจ็บปวดที่เกิดทางกาย ต้องอาศัยกายปสาทรูป อันเป็นกายวิญญาณจิตอกุศลวิบาก เกิดจากอกุศลกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น ทางกายก็โดยนัยเดียวกัน ตามที่กล่าวยกตัวอย่างทางทวารอื่นๆ คือทางกาย สําหรับผู้ที่เหตุปัจจัยบางอย่าง เช่น กายปสาทรูปเกิด มีอยู่ แต่เพราะอาศัยเหตุปัจจัยที่จะทำให้มีการรู้สึกที่น้อยมาก แต่ในความเป็นจริง กายวิญญาณจิตเกิดแล้วแต่ไม่รู้ตัว เพราะแผ่วเบามาก ทําให้เหมือนกับไม่รู้สึกอะไร นี่ก็เป็นเหตุปัจจัยประการหนึ่ง ที่สำคัญว่าเหมือนไม่มีการรับรู้ทางกาย

อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือเรื่องของกรรมเป็นสำคัญ เมื่อกรรมยังไม่ถึงพร้อมก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดกายวิญญาณจิตก็ได้ ตราบใดที่กรรมยังไม่ให้ผล ครับ

และอีกนัยหนึ่งที่เป็นไปได้ คือกายปสาทรูปที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัวนั้น อาจจะอยู่ลึกลงไปจากผิวหนังร่างกาย ก็ทำให้โอกาสที่จะกระทบกับสิ่งที่กระทบสัมผัสย่อมยากกว่าผู้อื่น โอกาสที่จะเกิดกายวิญญาณย่อมยากด้วย ครับ

แต่ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า กายวิญญาณไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิด เกิดได้ แต่เป็นเพียงความแผ่วเบาที่เป็นความรู้สึกกระทบทางกายที่น้อยมาก จนไม่รู้สึกว่ามีความรู้สึกทางกายเลย ครับ อันอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ทั้งกรรม ทั้งกายปสาทรูป ที่อยู่ลึกลงไป และความรู้สึกที่น้อยมาก ในขณะที่รู้กระทบสัมผัสทางกาย ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 10 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 11 พ.ย. 2555
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิรมิต
วันที่ 11 พ.ย. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peeraphon
วันที่ 16 พ.ย. 2555

เรียนถามอาจารย์เพิ่มเติมนะครับ

เมื่อในกรณีนี้ ทำให้นึกถึงผู้ที่ปฏิสนธิ ที่มีรูปตา แต่กำเนิด แต่ไม่มีการเห็น คือคนตาบอด ในกรณีที่ มีกายปสาทะแต่ไม่มีกายวิญญาณจิตเกิด เพราะไม่มีกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด กรณีนี้เป็นไปได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natre
วันที่ 18 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 19 พ.ย. 2555

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

สำหรับผู้ที่ตาบอดแต่กำเนิด แต่มีรูปตา คือมังสจักษุที่เป็นตาเนื้อ มีรูปร่างตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูป ครับ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีโอกาสที่จะเกิดการเห็นได้ ครับ

เพราะฉะนั้น หากไม่มีกายปสาทรูปเลย ย่อมไม่มีโอกาสที่จะรู้สึกอะไรเลยทางกาย ดังเช่น พรหมบุคคล แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีกายปสาทรูปแล้ว ย่อมมีโอกาสที่จะรู้สึกได้ กระทบได้ เมื่อกรรมให้ผล ครับ

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ