พูดแบบนี้เป็นการอวดอุตริฯ หรือไม่ครับ
อาตมา มีโยมเพื่อนมานั่งคุยอยู่ที่กุฏิ ก็คุยกันปกติ แต่พอคุยกันไป อาตมาก็บอกกับโยมเพื่อนไปว่า "สึกออกไปเนี่ย ข้าว่าจะเลิกกินเหล้าละ เพราะมันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง" โยมเพื่อนก็เลยถามกลับว่า "แล้วความสุขที่แท้จริงคืออะไรล่ะ"
อาตมาก็ตอบไปว่า "ความสุขที่แท้จริงคือ พระนิพพาน" พอตอนพูด อาตมาก็นึกขึ้น ถึงเรื่อง การพูดอวดฯ เลยไม่กล้าพูดต่อ แต่แล้วโยมเพื่อน มันก็ยังมาถามซ้ำไปอีกว่า "แล้วหลวงพี่จะนิพพานตอนไหน" นั่นทำให้อาตมาไม่รู้จะพูดตอบยังไง เพราะกลัวเป็นการพูดอวดฯ เลยตอบไปว่า "ยาก" คำเดียว และก็พูดไล่ต่อท้ายไปว่า "ตามที่เรียนมา" แบบนี้ถือว่าเป็นการพูดอวดหรือไม่ครับ มีความวิตกกังวลจริงๆ กับคำพูด
และก็มีอีกเรื่องครับ ที่ว่าพูดเล่นแบบนี้ ถือว่าอวดฯ หรือไม่ครับ เรื่องมีว่า มีโยมเพื่อนมานั่งคุยกับอาตมาที่กุฏิ พอจะกลับอาตมาเลยให้พระเครื่อง เป็นของที่ระลึกโยมเพื่อน มันก็ถามว่า "นี่พระปลุกเสกเองเลยหรือเปล่า" อาตมาก็ตอบไปแบบคุยกันเล่นๆ ตามภาษา ว่า "เออใช่ นี้ปลุกเสกเองเลยเนี่ย สวดมนต์ทุกคืน" แบบนี้ การพูดแบบนี้ ถือว่า อวดอุตริหรือไม่ อย่างไร รบกวนช่วยอธิบายที นะครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ครับ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจ คำว่า อวดอุตริมนุสธรรม ว่าคืออะไรก่อนครับ อวดอุตริมนุสธรรม หมายความว่า อวดคุณที่เหนือมนุษย์ (ฌาน การบรรลุธรรม) อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง เช่น อวดว่าตนเองได้ฌาน วิโมกข์ สมาบัติ ได้เป็นพระอริยเจ้าขั้นต่างๆ
จะเห็นนะครับว่า อวดอุตริมนุสธรรม นั้น มีเจตนากล่าวคำที่ไม่จริง ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าตนไม่มีคุณธรรมนั้น แต่ก็กล่าวว่าตนเองมีคุณธรรมนั้น ด้วยการพูดโดยลักษณะต่างๆ ดังนั้น จะปราชิกหรือไม่ สำคัญที่เจตนาเป็นสำคัญว่าเจตนาที่จะอวดในคุณธรรมที่ตนไม่มีอยู่จริง ซึ่งจากกรณีที่กล่าวมา หากไม่มีเจตนากล่าวอวด คือกล่าวด้วยการแสดงธรรมว่า ความสุขที่แท้จริงคือพระนิพพาน ก็เป็นการแสดงธรรมที่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องอาบัติปาราชิก ส่วนการกล่าวว่ายาก ก็เป็นการแสดงถึงว่าพระนิพพานเป็นสิ่งที่ได้ยาก หากเป็นการแสดงธรรมที่กล่าวความจริง ว่าเป็นสิ่งที่ยาก ก็ไม่ต้องอาบัติ และการกล่าวว่ายากแต่ก็ไม่ได้เป็นการแสดงว่าตนได้ ก็ไม่ต้องอาบัติปาราชิกเช่นกัน แต่หากมีเจตนากล่าวอวดในคุณธรรมที่ไม่มีจริง เช่น กล่าวว่ายาก แต่เราก็ถึงพระนิพพานแล้ว อันนี้ตรงๆ ต้องอาบัติปาราชิก ครับ
ส่วนกรณีการพูดเล่น ไม่ได้มีเจตนาจะอวดคุณที่ไม่มีจริง แต่พูดเล่น ไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่อาจต้องอาบัติข้ออื่นๆ เล็กน้อยได้ ครับ
ที่สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่จะต้องอาบัติหนักหรือไม่ แต่ที่สำคัญ ควรเห็นโทษของกิเลสเพียงเล็กน้อย และก็ประพฤติให้เหมาะสมตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ
พระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องเตือนที่ดี ให้เห็นโทษเห็นภัยของกิเลสอกุศลที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าใครก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย กิเลสก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จากที่เคยมากไปด้วยอกุศล มากไปด้วยความไม่รู้ ก็จะสามารถขัดเกลาได้ ด้วยความเข้าใจพระธรรม
จากประเด็นคำถามของพระคุณเจ้านั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาจริงๆ ความเป็นผู้ตรงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความเข้าใจพระธรรมจะทำให้พิจารณาเห็นได้ว่า สิ่งใดควรพูดและสิ่งใดไม่ควรพูด ทำให้งดเว้นในสิ่งที่ไม่ควรพูดและพูดในสิ่งที่ควรพูดได้ ทางที่ดีที่สุดแล้วก็คือ พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประกอบด้วยเมตตา และที่สำคัญ ถ้าเป็นประเด็นในเรื่องของพระธรรมแล้ว จะต้องกล่าวตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...