ท่านพระอุปคุต และท้าวมาลัย

 
นิรมิต
วันที่  13 พ.ย. 2555
หมายเลข  22045
อ่าน  5,219

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

วันนี้อยากจะขอเรียนถามเกี่ยวกับ ท่านพระอุปคุตเถระ ที่ปรากฏประวัติว่า ท่านเป็นผู้ปราบพญามารในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไม่ทราบว่า ท่านพระอุปคุตนั้น มีตัวตนจริงในสมัยนั้นหรือไม่ครับ มีปรากฏหลักฐานอะไรยืนยันหรือไม่ แล้วข้อที่ว่าพญามารหรือท่านท้าวมาลัย (อีกนัยหนึ่งคือท้าวปรนิมมิตวสวัสดี) นั้น ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ จริงหรือ มีปรากฏแสดงไว้ในพระพุทธวัจนะหรือไม่

และมีหลายท่านกล่าวไว้ว่า ท่านพระอุปคุตนั้น ยังไม่ได้ปรินิพพาน ยังประทับอยู่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาล เพราะเชื่อว่า ท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก และท่านปรารภไว้ว่าจะช่วยสัตว์โลก คืออุปมาว่า ท่านยังดำรงขันธ์ ๕ ท่านไว้อยู่ด้วยฤทธิ์ ยังมิได้ปรินิพพาน (ไม่ใช่ว่าท่านนิพพานแล้ว ไปอยู่ที่แดนนิพพาน หรือนิพพานแล้ว ยังกลับมาช่วยสัตว์โลกแบบพระโพธิสัตว์มหายาน แต่คือ ท่านยังไม่นิพพาน ยังดำรงขันธ์ ๕ อยู่ถึงกาลนี้)

ข้อนี้เป็นความจริงเท็จประการใด มีโอกาสเป็นอย่างนั้น ได้หรือไม่ เพราะชื่อว่าพระอรหันต์ ผู้มีฤทธิ์มีคุณธรรมสูง ปรารถนาจะอยู่สักกัปป์หนึ่ง ท่านก็ว่า เป็นข้อที่สามารถ เป็นไปได้

สุดท้ายนี้ ใคร่อยากจะขอเรียนถามอีกเรื่องหนึ่งครับ คือท่านหมอชีวก กับนางสิริมา นั้น ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องกันหรือครับ เพราะเคยอ่านประวัติท่าน ได้ยินว่าท่านเป็นพี่น้องกัน แต่ท่านหมอชีวกนั้นถูกทิ้งไว้ เพราะเป็นผู้ชาย แต่นางสิริมาสืบอาชีพสาวงามเมืองต่อจากมารดาของท่าน ซึ่งท่านทั้งสองก็พลัดพรากจากกันตั้งแต่เกิด และพออ่านประวัติของท่านหมอชีวกท่านก็ไม่ได้มีแสดงไว้ว่าได้พบกับนางสิริมา และทราบว่าเป็นพี่น้องกัน

จึงใคร่อยากจะเรียนถามว่า ท่านใดเป็นผู้แสดงไว้ว่า ท่านหมอชีวกและนางสิริมาเป็นพี่น้องกัน แล้วท่านทราบได้อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. วันนี้อยากจะขอเรียนถามเกี่ยวกับท่านพระอุปคุตเถระ ที่ปรากฏประวัติว่าท่านเป็นผู้ปราบพญามารในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ไม่ทราบว่า ท่านพระอุปคุตนั้นมีตัวตนจริงในสมัยนั้นหรือไม่ครับ มีปรากฏหลักฐานอะไรยืนยันหรือไม่ แล้วข้อที่ว่า พญามารหรือท่านท้าวมาลัย (อีกนัยหนึ่งคือท้าวปรนิมมิตวสวัสดี) นั้น ท่านเป็นพระโพธิสัตว์จริงหรือ มีปรากฏแสดงไว้ในพระพุทธวัจนะหรือไม่

- ในพระไตรปิฎกและอรรถถา ไม่ได้แสดงไว้ในเรื่องของพระอุปคุตะ ส่วนพญามารนั้น โดยทั่วไป มักเข้าใจว่า คือท้าวปรนิมมิตสวัสตี แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ ครับ เพียงแต่พญามาร เป็นใหญ่ในเทวโลกชั้นที่ ๖ ชื่อ วสวัตตีเทพบุตร เป็นใหญ่อยู่นอกเขต เพราะมีฤทธิ์มาก แต่ท้าวปรนิมมิตวสวัสดีเป็นพระราชาผู้ปกครองสวรรค์ชั้นที่ ๖ เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เกิดพระปริวิตกที่จะไม่แสดงธรรม ท้าวมหาพรหมพร้อมทั้งเทวราชทั้งหลาย รวมทั้ง ท้าวปรนิมมิตวสวัสดีก็ได้มาทูลขออาราธนาให้แสดงธรรม หากเป็นพญามารจริงๆ ย่อมไม่ทูลขอให้แสดงธรรมแน่นอน ครับ

ส่วนที่กล่าวว่า พญามารเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ไม่มีปรากฏในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ

๒. และมีหลายท่านกล่าวไว้ว่า ท่านพระอุปคุตนั้นยังไม่ได้ปรินิพพาน ยังประทับอยู่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาล เพราะเชื่อว่าท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก และท่านปรารภไว้ว่าจะช่วยสัตว์โลก คืออุปมาว่าท่านยังดำรงขันธ์ ๕ ท่านไว้อยู่ด้วยฤทธิ์ ยังมิได้ปรินิพพาน (ไม่ใช่ว่าท่านนิพพานแล้วไปอยู่ที่แดนนิพพาน หรือนิพพานแล้ว ยังกลับมาช่วยสัตว์โลก แบบพระโพธิสัตว์มหายาน แต่คือท่านยังไม่นิพพาน ยังดำรงขันธ์ ๕ อยู่ถึงกาลนี้) ข้อนี้เป็นความจริงเท็จประการใด มีโอกาสเป็นอย่างนั้นได้หรือไม่ เพราะชื่อว่า พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์มีคุณธรรมสูง ปรารถนาจะอยู่สักกัปป์หนึ่ง ท่านก็ว่าเป็นข้อที่สามารถเป็นไปได้

- ผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่ ที่จะช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือพระโพธิสัตว์ และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ทรงแสดงธรรมกับหมู่สัตว์ทั้งหลาย แต่เมื่อถึงกาลเวลา คือจุติจิตจะเกิด ก็ไม่มีใครหลีกหนีได้ พระองค์ก็ต้องปรินิพพาน ซึ่งสำหรับอายุกัปของคนสมัยนั้นคือ ๑๐๐ ปี สำหรับมนุษย์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอายุยืนที่สุด ก็มีพระพากุละ ที่อายุ ๑๖๐ ปี ก็ปรินิพพาน ซึ่งผู้ที่เป็นสาวกก็ต้องมีอายุขัย ต่อให้มีฤทธิ์ แต่ท่านทำกิจเสร็จแล้ว คือกิจของตน และสาวกไม่ได้มีกำลังแห่งเทศนาญาณที่จะช่วยสัตว์โลกได้ดังเช่นพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่ฐานะที่จะอยู่ต่อตามใจชอบเพื่อช่วยสัตว์โลกได้เลย ครับ

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์เกิดความปริวิตกว่า แม้เราก็สามารถอยู่ได้ตลอดกัป คือสามารถเข้าฌานที่มีกำลัง แต่แม้เป็นเช่นนั้น สรีระของเราก็ย่อมเหี่ยวแห้งไป เพราะร่างกายคือการเกิดขึ้นและดับไปของรูปธรรม ย่อมเสื่อมสลายไป ย่อมไม่สมควรที่เราจะดำรงอยู่เลย และที่สำคัญ สาวกที่เป็นพุทธเวไนย คือจะตรัสรู้ด้วยพระธรรมเทศนาของพระองค์ก็หมดแล้ว พระองค์จึงปรินิพพาน นี่แสดงเห็นว่า แม้พระพุทธองค์ผู้เลิศด้วยปัญญาและฤทธิ์สูงสุดกว่าใคร ก็ต้องปรินิพพาน จะกล่าวไปไยถึงสาวกที่จะอยู่ได้ตลอดไป และไม่มีปัญญาดังเช่นพระพุทธเจ้า ที่จะรู้ว่าใครควรแสดงธรรมข้อใด บทใด ที่จะบรรลุ จึงไม่ใช่ฐานะของสาวกที่จะทำดังเช่นพระพุทธเจ้า ที่จะโปรดสัตว์ไปเรื่อยๆ ได้เลย ครับ

พระธรรมจึงเป็นเรื่องละเอียด และจะเห็นถึงคุณค่าของพระธรรม คือเมื่อมีความเห็นถูก ย่อมจะเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ตามความเป็นจริง ครับ

- ส่วนประเด็นเรื่อง หมอชีวกกับนางสิริมา เป็นพี่น้องกันหรือไม่ และใครแสดง

หมอชีวกเป็นพี่ชายครับ ส่วนนางสิริมาผู้ที่โตขึ้นมาเป็นหญิงงามเมืองเป็นน้องสาวครับ ซึ่งผู้ที่แสดงไว้ คือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ดังปรากฏในคาถาธรรมบทเป็นต้น ครับ

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 150

นางสิริมาถึงแก่กรรม

ในเวลาเย็นวันนั้นเอง นางสิริมาได้ทำกาลกิริยาแล้ว. พระราชาทรงส่งพระราชสาสน์ไปถวายพระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า นางสิริมาน้องสาวหมอชีวก ได้ทำกาลกิริยาเสียแล้ว." พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้น จึงส่งข่าวไปแด่พระราชาว่า "กิจคือการเผา (ศพ) นางสิริมา ยังไม่มี"

ศพนางสิริมาผู้เลอโฉมหาค่ามิได้

พระศาสดาตรัสถามพระราชาว่า "นี่ใคร มหาบพิตร"

พระราชา "น้องสาวหมอชีวก ชื่อสิริมา พระเจ้าข้า"

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nopwong
วันที่ 15 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นิรมิต
วันที่ 15 พ.ย. 2555

กราบขอบพระคุณและขออนุโมนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 15 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

- พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมดนั้น เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ มีทางเดียวที่จะเข้าใจได้ คือ ฟัง ศึกษา ด้วยความละเอียดรอบคอบ ดังนั้น ควรอย่างยิ่งที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อันเป็นคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปทีละเล็กทีละน้อย

- การเวียนว่าย ตาย เกิด เป็นเรื่องของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา (โลภะ) และอวิชชา (ความไม่รู้) จึงต้องมีการเกิด การตายอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ดำเนินไป อย่างไม่จบสิ้น และกว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้นั้น ในชาติที่ผ่านๆ มา ก็เคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนาน หาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ และ เนื่องจากสังสารวัฏฏ์ยาวนาน ผู้ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันโดยฐานะหนึ่งฐานะใด เช่น เป็นพ่อ แม่ เป็นพี่ชาย น้องชาย เป็นพี่สาว น้องสาว หาได้ยาก และเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมด อย่างเด็ดขาด ขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ ที่จุติจิตเกิดขึ้น เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ แล้วดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที เกิดทันทีในภพใหม่ชาติใหม่ เป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่ มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) มีเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) มีรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เกิดขึ้นเป็นไป สืบเนื่องต่อไป เป็นสังสารวัฏฏ์ ที่ยืดยาวต่อไปอีก

จึงควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่า การอบรมเจริญปัญญาเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ดับกิเลส ดับทุกข์ ไม่มีการเกิดการตายอีก ไม่มีการเกี่ยวเนื่อง ผูกพันกับใครๆ อีกเลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 15 พ.ย. 2555

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 28 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 16 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ