สรรพสัตว์ มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือคงที่ หรือว่าลดลงเรื่อยๆ ครับ?

 
ผู้ยังไม่พ้น
วันที่  24 พ.ย. 2555
หมายเลข  22091
อ่าน  1,627

ขอโอกาสถามผู้รู้ด้วยครับ

ว่าเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างไรบ้าง?

เหตุที่สงสัยเพราะรู้สึกว่า มีผู้ที่ต้องช่วยเหลือเยอะเหลือเกินและไม่หมดสักที คิดไปคิดมา แต่ให้เราช่วยไปก็ช่วยได้แค่ชั่วคราว และสุดท้ายแล้วก็จะมีผู้ที่ต้องให้ช่วยเพิ่มขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ อยู่ดี อย่างนั้นเราควรหยุดแล้วจะหันกลับมาดูแลตนเองบ้าง ทำกิจที่ควรทำรักษาตนและช่วยตนเองให้ขึ้นจากน้ำให้พ้นให้ได้ก่อนจะดีกว่า อย่าอาลัยในสรรพสัตว์

ถ้าสรรพสัตว์มีปริมาณคงที่ อย่างนั้น ... ในที่สุดแล้ว ก็จะค่อยๆ ทยอยนิพพาน และลดลงไปทีละน้อย ทีละน้อย ถ้าสรรพสัตว์มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ อย่างนั้น

ถ้าอัตรานิพพาน = อัตราการเพิ่มของสรรพสัตว์ จำนวนโดยรวมก็จะคงที่

ถ้าอัตรานิพพาน น้อยกว่า อัตราการเพิ่มของสรรพสัตว์ จำนวนโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้นๆ

ถ้าอัตรานิพพาน มากกว่า อัตราการเพิ่มของสรรพสัตว์ จำนวนโดยรวมก็จะลดลงๆ

คิดว่าถ้ามากมายเหลือคณานับ และเพิ่มจนเป็นอนันต์ (ยิ่งนับยิ่งเพิ่ม) อย่างนั้น วางอุเบกขาเสีย แล้วกลับมาทำกิจของตนให้สำเร็จก่อนจะดีกว่าหรือไม่?

ในเรื่องนี้ ผมมีความปริวิตกอย่างนี้ ขอท่านผู้รู้ช่วยบรรเทาความสงสัย และให้คำแนะนำด้วยครับ (ถ้ามีพระสูตรอ้างอิงด้วยจะดีมากๆ ครับ)

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ในความเป็นจริง สิ่งที่เป็นอนันต์ไม่มีที่สิ้นสุด คือจำนวนของสัตว์โลก ดังนั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้กี่พระองค์ ก็ไม่สามารถที่จะช่วยสัตว์โลกได้ทั้งหมด และประการสำคัญ ไม่ได้หมายความว่าเมื่อช่วยสัตว์โลกไปเรื่อยๆ จํานวนสัตว์โลกจะหมดไปในที่สุด เพราะในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า บุคคลที่เห็นผิดเปรียบดังตอของวัฏฏะ คือไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้เลย เพราะตนเองไม่มีศรัทธา มีความเห็นผิด ส่วนการจะช่วยเหลือใครให้หลุดพ้น ตนเองจะต้องมีความมั่นคงในความเข้าใจถูกเสียก่อนเป็นอันดับแรก และเมื่อเข้าใจถูกแล้ว ก็ตามแต่โอกาสที่จะแบ่งปันพระธรรมที่ถูกต้อง เพราะพระธรรมที่ถูกต้อง ยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง แม้สัตว์โลกจะไม่สามารถหมดไปได้ แต่ก็ช่วยเท่าที่ทําได้ เพราะผู้ที่สะสมศรัทธาและปัญญามา มีครับ และควรได้รับฟังพระธรรมที่ถูกต้อง

ขออนุโมทนา

ข้อความจากอรรถกถาสติปัฏฐานสูตร

ในนิยตมิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ นั้น บางคนดิ่งลงสู่ทัศนะเดียว บางคน ๒ ทัศนะ บางคน ๓ ทัศนะก็มี เมื่อดิ่งลงไปในทัศนะเดียวก็ดี ใน ๒, ๓ ทัศนะก็ดี ย่อมเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ห้ามทางสวรรค์และห้ามทางนิพพาน ไม่ควรไปสวรรค์แม้ในภพที่ติดต่อกันนั้น จะกล่าวไปไยถึงนิพพานเล่า สัตว์นี้ชื่อว่าเป็นตอวัฏฏะ เป็นผู้เฝ้าแผ่นดิน โดยมากคนมีทิฏฐิเห็นปานนี้ ออกจากภพไม่ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 25 พ.ย. 2555

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornchai.s
วันที่ 25 พ.ย. 2555

พระปัญญาญาณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเป็นอนันตะ (ไม่สิ้นสุด) ยิ่งกว่าอนันตะทั้งหลาย เช่นหมู่สัตว์ และจักรวาล เป็นต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 25 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Chalee
วันที่ 26 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนา สาธุเป็นที่ได้อ่านเจอค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natural
วันที่ 26 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผู้ยังไม่พ้น
วันที่ 26 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 26 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดก็ตามที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังไม่พ้นจากการเกิด จะเกิดเป็นอะไร ก็แล้วแต่กำลังของเหตุที่ได้กระทำแล้ว ที่จะส่งผลให้เกิดเป็นใคร ในภพภูมิต่างๆ ที่เป็นสุคติภูมิบ้าง อบายภูมิบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คืออบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ไปได้โดยง่ายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งหมดนั้นก็แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สังสารวัฏฏ์ก็ดำเนินต่อไป แม้แต่ตัวเราเองก็เป็นเช่นนั้น แทนที่จะไปคิดว่าสัตว์โลกมากขึ้นหรือน้อยลง ก็ควรที่จะได้คิดว่า ขณะนี้ตนเองได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ได้กระทำกิจที่ควรทำสำหรับตนเองให้สมบูรณ์แล้วหรือยัง ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไป ด้วยความเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลและสะสมปัญญาต่อไป นี้แหละ คือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nopwong
วันที่ 28 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 8 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ