เจตนาทั้ง 3 กาล มีกล่าวอยู่ในพระไตรปิฏกหรือไม่

 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่  4 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22123
อ่าน  23,721

ขอเรียนถามเรื่องเจตนาทั้ง ๓ กาล มีกล่าวอยู่ในพระไตรปิฎกหรือไม่ ถ้ามี โปรด Link ข้อมูลให้ด้วยครับ

- เจตนาก่อนทำทาน (ปุพพเจตนา) ย่อมมีผลต่อปฐมวัย ดีไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับเจตนาชนิดนี้

- เจตนาขณะทำทาน (มุญจเจตนา) ย่อมมีผลในวัยกลางคน ดีไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับเจตนาชนิดนี้

- เจตนาหลังทำทาน (อปรเจตนา) เจตนาชนิดนี้ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และควรระลึกถึงให้มากที่สุด หรือระลึกถึงให้สม่ำเสมอ เพราะมีผลต่อวัยบั้นปลายชีวิต ดีไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับเจตนาชนิดนี้

ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สําหรับเจตนาทั้ง ๓ กาล ที่ผู้ถามยกมา ที่ว่าเจตนาก่อนให้ มีผลต่อปฐมวัย เจตนาขณะให้ มีผลต่อวัยกลางคน เจตนาหลังให้ มีผลต่อปัจฉิมวัย เหล่านี้ ไม่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ครับ แต่มี การกล่าวเจตนาทั้ง ๓ กาล ไว้ในพระไตรปิฎกดังนี้ ครับ

๑. ปุพพเจตนา คือ เจตนาก่อนที่จะทำกุศล มีทาน เป็นต้น เช่น คิดที่จะให้ทาน ว่าเราจะให้ทานกับผู้นี้ ก็เป็นเจตนาก่อนให้

๒. มุญจนเจตนา คือ เจตนา ขณะที่ทำกุศล มีการให้ทาน เป็นต้น ที่เป็นขณะที่ให้

๓. อปรเจตนา คือ เจตนาหลังจากที่ให้ทาน คือ เจตนาที่เกิดพร้อมกับกุศลจิต เช่น ขณะที่ให้ทานไปแล้ว ก็นึกถึงกุศล คือทานที่ให้ไปแล้ว ด้วยจิตโสมนัสในกุศลนั้น ว่าเราให้ดีแล้ว ก็ชื่อว่า เป็นเจตนาหลังให้ ที่เกิดกับกุศลจิต ครับ

ส่วนการจะได้รับผลของกุศล ในปฐมวัย ในมัชฌิมวัย (วัยกลางคน) และปัจฉิมวัย วัยสุดท้าย มีแสดงไว้ ในสูตรอื่นครับ ใน สัปปุริสทานสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าควรให้ทาน ในกาลเวลาอันควร คือ ไม่รีรอ หรือ ช้าที่จะให้ ถ้าทำช้า ก็ทำให้ผู้อื่นได้รับช้า บุญก็สำเร็จช้า ก็ทำให้ผลของบุญ ก็ตกมาถึงตนเองช้า ให้ผลในวัยกลางคน หรือวัยสุดท้ายก็ได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้เวลาให้ เมื่อกุศลเกิดก็ไม่รอ แต่ให้ในขณะนั้น ตามกาลอันควรของกุศลที่เกิดในขณะนั้น ก็ย่อมได้ผลของกุศล ในวัยต้น มีปฐมวัย เป็นต้น ได้ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kinder
วันที่ 6 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 6 ธ.ค. 2555
ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 6 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 6 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ได้เข้าใจ ตามความเป็นจริง แม้แต่ในขณะที่เจริญกุศล ทั้งก่อนกระทำ ในขณะที่กระทำ และหลังจากที่กระทำเป็นไปแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นเหตุให้กุศลจิตเกิดขึ้นได้ทั้ง ๓ กาละ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริง เมื่อกุศลสำเร็จแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 6 ธ.ค. 2555

คนที่คิดจะให้ทานก็ยังยาก พูดว่าจะให้ก็ยาก รักษาคำพูดก็ยาก ให้แล้วไม่เสียดาย ยากที่สุดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 2 พ.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประสาน
วันที่ 25 มี.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
bigcat001
วันที่ 29 ก.ย. 2564

อนุโมทนาสาธุๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
talaykwang
วันที่ 21 เม.ย. 2566

กราบขอบพระคุณ​ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ