ขอแสงสว่างได้ไหม?

 
Nop.p
วันที่  21 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22209
อ่าน  3,619

อ้างตามพุทธประวัติ เจ้าชายสิตธัตถะแต่งงานกับเจ้าหญิงพิมพาตอนที่ทั้งคู่มีอายุได้ ๑๖ พรรษา สุขภาพร่างกายย่อมสมบูรณ์ทั้งคู่ที่พร้อมที่จะเจริญพันธุ์ แต่ทำไมตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๑๓ ปี ถึงไม่ตั้งท้อง?

- ทำไมพระนางพิมพาต้องมาตั้งท้องและคลอดลูกเมื่ออายุได้ ๒๙ พรรษา?

- ด้วยเหตุผลอื่นใดที่นอกเหนือจากพุทธประวัติ เจ้าชายจึงหนีออกบวชตอนที่รู้ว่าพระนางพิมพาได้คลอดบุตร?

ช่วงระยะเวลาหลังจากสมรสแล้ว จนมาถึงออกบรรพชา ตามพุทธประวัติไม่ปรากฏรายละเอียดอะไรให้ได้ศึกษาเลย หรือมีอะไรพิเศษ ขอท่านผู้รู้ได้ให้รายละเอียดด้วยครับ

ขออนุโมทนาบุญ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากคำถามที่ว่า

อ้างตามพุทธประวัติ เจ้าชายสิตธัทถะแต่งงานกับเจ้าหญิงพิมพาตอนที่ทั้งคู่มีอายุได้ ๑๖ พรรษา สุขภาพร่างกายย่อมสมบูรณ์ทั้งคู่ที่พร้อมที่จะเจริญพันธุ์ แต่ทำไมตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๑๓ ปี ถึงไม่ตั้งท้อง?

- ทำไมพระนางพิมพาต้องมาตั้งท้องและคลอดลูกเมื่ออายุได้ ๒๙ พรรษา ด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้ครับ

ปัจจุบัน อายุขัยของมนุษย์อยู่ที่ ๗๕ ปี ส่วนสมัยพุทธกาล อายุขัยของมนุษย์ ๑๐๐ ปี ดังนั้น อายุของการตั้งครรภ์ที่จะทำให้ร่างกายของเด็กและวัยที่เจริญพันธุ์สมบูรณ์แตกต่างกัน เมื่อมีอายุมาก อายุการตั้งครรภ์ที่พร้อมก็มากตามไปด้วย ดังเช่น ข้อความในพระไตรปิฎกที่อธิบายว่า ในสมัยที่มนุษย์อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กกุมารี วัยสาว ก็ตั้งครรภ์เมื่ออายุ ๕๐๐ ปี และอีกตัวอย่างหนึ่ง ในสมัยที่มนุษย์ มีอายุขัย เพียง ๑๐ ปี คือพออายุ ๑๐ ปี ก็สิ้นชีวิต เด็ก ๕ ขวบ ก็สามารถตั้งท้อง มีลูกได้ ครับ

เพราะฉะนั้น ในสมัยพุทธกาลกับสมัยนี้ อายุขัยแตกต่างกัน สมัยพุทธกาลมีอายุขัยมากกว่า เพราะฉะนั้น ความพร้อมและการที่จะตั้งครรภ์ในวัยที่สมบูรณ์และเด็กก็จะแข็งแรงด้วย เพราะเด็กที่เกิด เป็นผู้มีบุญ มีท่านพระราหุล ก็ต้องเกิดในวัยที่สมควรของมารดาที่จะทำให้ครรภ์แข็งแรง ครั้นอายุ ๒๙ ปี จึงตั้งครรภ์ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่อายุขัยน้อยกว่า เด็กที่อายุน้อยกว่า ๒๙ ก็ตั้งครรภ์แล้วครับ นี่คือเหตุผล ประการที่หนึ่ง

ประการที่สอง ผู้ที่เกิด เป็นผู้มีบุญมาก คือท่านพระราหุล ผู้ที่สะสมบุญบารมีมาแสนกัป ย่อมเกิดในวัยอันสมควรและไม่อ่อนเกินไป ไม่เหมือนกับเด็กสมัยนี้ที่เกิดในวัยอันไม่สมควร มารดายังเป็นเพียงอายุ ๑๑ ปี เป็นต้น ก็ตั้งครรภ์แล้ว ซึ่งเด็กก็อาจไม่แข็งแรง ต่างกับท่านพระราหุลที่มีบุญมาก ย่อมเกิดในวัยของมารดาที่สมควรและแข็งแรงตามอายุขัยของสมัยนั้นครับ

ประการที่สาม เมื่อกล่าวถึง อภิธรรม คือ การเกิด ก็คือ จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น นั่นคือปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตชาติวิบาก เป็นผลของกรรม ที่ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ว่าจะให้เกิดเมื่อไหร่ อย่างไร เหมือนกับเวลาตาย ก็ไม่สามารถให้เกิดเมื่อไหร่ อย่างไร ตามแต่อำนาจของบุญกรรมที่จะให้ผลให้เกิดเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุปัจจัยพร้อมที่จะทำให้ท่านพระราหุลเกิดในเวลานี้ คือเมื่อมารดาอายุ ๒๙ ปี เพราะด้วยอำนาจของกรรมถึงพร้อม ทำให้ท่านพระราหุลเกิดในเวลานั้น คือเกิดปฏิสนธิในเวลาที่มารดาอายุ ๒๙ ปี ครับ

ประการที่สี่ ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมื่อได้บุตร เป็นต้น ย่อมออกมหาภิเนษกรมณ์ คือออกบวชในวันนั้น นี้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมื่อเพิ่งแต่งในวัย ๑๖ ปี ตามธรรมดา พระโพธิสัตว์ย่อมเสวยความสุขตลอดเวลาหลังจากนั้น ไม่ใช่เพียงปีเดียวแล้วออกบวช จนสุดท้าย พระองค์ก็ได้ตรัสไว้เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าว่า เราได้เสวยความสุขจากกามที่น่าพอใจมามากแล้ว แต่เราก็เห็นโทษ จึงสละเพศฆราวาสออกบวชเป็นต้นครับ หลังจากที่พระนางยโสธราประสูติพระราชโอรส หลังจากนั้น ๑๓ ปีที่ได้เสวยความสุขทางโลกมามากแล้ว ซึ่งสมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าพระองค์ไม่ได้เสวยสุขเพียงพอ ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่บวช แต่เพราะพระโพธิสัตว์ได้ผ่านทั้งความสุขเหล่านั้นมากพอแล้ว จึงเห็นโทษ ออกบวชครับ

ด้วยเหตุผลอื่นใดที่นอกเหนือจากพุทธประวัติ เจ้าชายจึงหนีออกบวชตอนที่รู้ว่าพระนางพิมพาได้คลอดบุตร

- ตามพุทธประวัติ ที่พระโพธิสัตว์ออกบวชหลังประสูติพระราชโอรส เพราะด้วยความเกี่ยวข้อง ผูกพัน และเป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ที่เป็นอย่างนั้น ที่จะสละเครื่องผูกทุกอย่าง แม้แต่บุตร ธิดา ที่เป็นเครื่องผูก ดังเช่น ราหุล ที่หมายถึง เครื่องผูก

ช่วงระยะเวลาหลังจากสมรสแล้ว จนมาถึงออกบรรพชาตามพุทธประวัติ ไม่ปรากฏรายละเอียดอะไรให้ได้ศึกษาเลย หรือมีอะไรพิเศษ ขอท่านผู้รู้ได้ให้รายละเอียดด้วยครับ

- ที่ไม่ได้ปรากฏรายละเอียด แต่เล่าเพียงย่อๆ ว่า ได้เสวยสุขอย่างมาก ในปราสาท ๓ หลังและกับพระนางยโสธราพิมพาและนางสนม รวมทั้งเหตุผลประการสำคัญที่สุดคือสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับสัตว์โลก พระพุทธเจ้าย่อมไม่แสดงสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ที่พระองค์ไม่ได้กล่าว ก็เพราะ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับสัตว์โลกในวิถีชีวิตอย่างละเอียดในการเสวยความสุข เพราะสัตว์โลกก็เสวยความสุขในกาม ในเพศฆราวาสเช่นเดียวกับพระองค์ เพียงแต่จะมากหรือน้อยต่างกันเท่านั้น แต่พระองค์ทรงแสดงคร่าวๆ ว่าพระองค์เสวยความสุขมาก แค่นั้น และสิ่งที่พระองค์ได้แสดงและควรแสดง คือทำให้สัตว์โลกเบื่อหน่าย คลายกิเลส คือหนทางการอบรมปัญญา เป็นการแสดงพระธรรมหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Nop.p
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ ถ้าตลอดระยะเวลา ๑๓ ปีของการมีครอบครัว และก็เกี่ยวข้องกับกามสุขเหมือนดั่งชนทั้งหลาย ถึงแม้อายุของมนุษย์ในปัจุบันจะสั้นลง ๑ ปีในทุกๆ ๑๐๐ ปีก็ตาม ก็หาใช่ว่าคนในสมัยพุทธกาลแต่งงานกันเมื่ออายุ ๑๖-๑๗ จะไม่ตั้งท้องโดยธรรมชาติของหญิงแล้ว เมื่อมีประจำเดือนก็ท้องได้ ดังนั้น ตลอดระยะเวลาอันยาวนานจะไม่ตั้งท้องเลยหรือ ใช่ มันอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระและไม่ก่อเกิดปัญญาใดๆ ในการดับกิเลส แต่มันก็น่าคิด ถ้าเราไม่กล่าวอ้างบุญญาบารมีในพระไตรปิฎก มนุษย์ทุกคนก็คือมนุษย์เป็นไปตามธรรมชาติตามสภาวะที่เกี่ยวข้องอยู่ แต่แตกต่างกันที่ธรรมปัญญา ธรรมใดๆ ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ผมไม่เคยสงสัย แต่ผมสงสัยในเรื่องที่มันไม่เป็นไปตามธรรมชาติครับ ...

อนุโมทนาบุญครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้จนหมดสิ้น กิเลสทั้งหลายก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ยังไม่สามารถที่จะดับได้ แต่สำหรับผู้ที่สะสมพระบารมีมาที่จะตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผู้ที่สะสมบารมีมาที่จะตรัสรู้ในฐานะของพระสาวกซึ่งเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะมีการสะสมปัญญาและความดีประการต่างๆ จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมตามฐานะของตนๆ ซึ่งจะแตกต่างจากบุคคลผู้ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลและการอบรมเจริญปัญญาอย่างสิ้นเชิง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมโดยชอบโดยพระองค์เอง ดับกิเลสที่พระองค์เคยสะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรมประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งพระนางยโสธราพิมพาและพระราหุล ตลอดจนถึงพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ล้วนเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงทั้งสิ้น แสดงให้เห็นถึงคุณของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงว่า เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นจริงๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์เฉพาะสำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น

ในยุคนี้สมัยนี้ เป็นช่วงเวลาที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดียิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ต่อไป นี้แหละ คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดครับ

..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

เรียน ความเห็นที่ 2 ครับ

แสดงถึงความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่การจะเกิด การจะตั้งครรภ์ หากเรากล่าวว่าแม้พระโพธิสัตว์กับพระนางยโสธราอยู่ด้วยกันสิบสามปี เป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่ตั้งครรภ์ แต่ในปัจจุบันสมัยนี้ ผู้ที่อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานและหลายๆ คู่ด้วยครับ ก็ตั้งครรภ์ตอนอายุสามสิบกว่าปี ทั้งที่อยู่ด้วยกันสิบกว่าปี แต่ไม่ตั้งครรภ์ก่อนหน้านั้นก็มีมากและเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมครับ ทั้งๆ ที่อายุขัยของคนสมัยนี้อายุขัยน้อยกว่า และแม้ในสมัยนี้ ก็มีผู้ที่อยู่ด้วยกันนานมากและอยากมีบุตรแต่ก็ไม่มี ก็มีมากมายหลายคู่ ก็ไม่น่าแปลก เพราะก็เข้าใจในเหตุผลทางโลกว่า อาจจะยังไม่พร้อม และที่สำคัญ ก็เข้าใจว่ายังไม่มีเหตุที่จะได้บุตร และยังไม่มีกรรมที่จะทำให้บุตรผู้นั้นมาเกิด

จากตัวอย่างที่กล่าวมา แสดงให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของแต่ละคน ไม่ได้มีกฎเกณฑ์เลยว่าเมื่อทุกคู่ที่อยู่ด้วยกัน จะต้องมีบุตรกันเร็ว ตามตัวอย่างในปัจจุบันที่เห็นๆ กันอยู่หลายๆ คู่ ครับ ดังนั้น ผู้ที่จะมาเกิดก็แล้วแต่ว่าจะมาเกิดเวลาไหน ไม่ได้เพียงอาศัยการอยู่ร่วมกันเพียงปัจจัยเดียว ที่ทำให้เกิดเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลายๆ ปัจจัย มีกรรมของผู้ที่จะมาเกิดด้วยครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 24 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ