ร่วมพิธีถวายพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต 4 รวมพลถวายพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต

 
kanchana.c
วันที่  22 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22217
อ่าน  3,520

รวมพลถวายพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต

26 พ.ย. 55

วันนี้เป็นวันสำคัญที่รอคอยมาเป็นปี ตั้งแต่เมื่อทราบว่า มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระ พุทธศาสนาจะถวายพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต (ทราบว่า รศ. ดร. สวนิต ยมาภัย เป็นผู้ตั้งชื่อ ซึ่งแปลว่า ภาชนะที่ประกอบด้วยรัตนะมีรูปทรงเหมือนดอกบัวตูม เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ตามที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างไว้) ซึ่งมีที่มา ว่า

ในการไปนมัสการสังเวชนียสถาน ที่ประเทศอินเดีย เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา นั้น ขณะที่กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่สารนาถ เมืองพาราณสี ท่านอาจารย์สุ จินต์ บริหารวนเขตต์ ได้สังเกตเห็นรอยร้าว ณ ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ จึง เกิดความคิดว่า พระบรมสารีริกธาตุควรจะได้ประดิษฐานอยู่ในที่ที่เหมาะสม จึงกราบ นมัสการเรียนให้ท่านพระสีวลีเถระ ซึ่งเป็นพระเถระที่ดูแลได้รับทราบว่า มูลนิธิศึกษาและ เผยแพร่พระพุทธศาสนาขอโอกาสเจริญกุศลด้วยการสร้างที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุขึ้นใหม่ แทนที่ประดิษฐานเดิม

ท่านพระสีวลี ได้กล่าวว่า ที่ประดิษฐานเดิมเป็นของพระเจ้าอโศกมหาราช ส่วนที่ ครอบชั้น ที่สองนั้นเป็นของรัฐบาลอินเดีย สร้างในสมัยของท่านอนาคาริกธรรมปาละ ถ้ามูลนิธิฯจะสร้าง ก็ขอให้สร้างเป็นที่ครอบที่ประดิษฐานดังกล่าว พร้อมทั้งให้มี ความแข็งแรง เนื่องจากทุกวันเพ็ญเดือน ๑๒ จะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (ที่สาร นาถ) ไว้บนหลังช้าง แห่รอบเมืองพาราณสี เพื่อให้ประชาชนได้กราบสักการบูชา เมื่อวันที่ ๑๗ - ๑๙ มกราคม ๒๕๕๕ พล.ต.ดร.วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิฯ (ผู้ออกแบบ, เขียนแบบ) อาจารย์พีระพล คล้ายณรงค์ (ช่างทองหลวง ผู้ ออกแบบ, เขียนแบบ และสร้างที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ) พร้อมด้วยคุณผเดิม ยี่สมบุญ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้เดินทางไปที่สารนาถ เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย เพื่อถ่ายรูป วัดขนาดและออกแบบ ฯลฯ เพื่อให้ทางมหาโพธิสมาคมแห่งประเทศ อินเดียได้รับทราบคร่าวๆ โดยมีท่านพระเรวัตตะเถระ เลขาธิการมหาโพธิสมาคม และ พระสีวลีคอยอำนวยความสะดวกและให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เมื่อทั้ง ๓ ท่านได้เดินทางกลับมาถึงเมืองไทย แล้ว พล.ต.ดร.วีระ พลวัฒน์ ได้ เป็นตัวแทน นำพรอันประเสริฐนี้มาฝากพวกเราชาวมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธ ศาสนาว่า ได้ขอโอกาสสร้างที่ครอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยความวิจิตร สวยงามอลังการ ครอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระเจ้าอโศกมหาราช และ ที่ครอบเดิมของท่านอนาคาริกธรรมปาละ หมายความว่า ของมูลนิธิฯ จะเป็นชั้นที่ ๓ ซึ่งจะประดิษฐานต่อไปอีกถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี

สำหรับการสร้างในครั้งนี้อาจารย์พีระพล คล้ายณรงค์ ได้บอกว่า จะเป็นการสร้าง ตามแบบที่ได้ออกไว้ตามจินตนาการอย่างสุดความสามารถ ซึ่งจะแตกต่างจากการสร้าง ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุของท่านพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัล ลานะ ที่พุทธคยาที่สร้างตามเพชร พลอย ฯลฯ ที่ผู้มีจิตศรัทธาได้บริจาค มา โดยจะใช้ทองคำ เงิน เป็นหลักพร้อมทั้งพลอยจากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งอาจารย์ พีระพล จะเดินทางไปรับด้วยตนเอง ส่วนเพชร พลอย ที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคมา ถ้า ไม่ตรงตามแบบที่ออกไว้ ก็จะนำไปแลก ณ สถานที่ดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งพลอย ตามแบบที่ออกไว้

จึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง ที่พวกเราชาวมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธ ศาสนาจะได้ร่วมกันเจริญกุศลในครั้งนี้ อันเป็นการกระทำสิ่งที่สมควรที่สุดแก่ พระบรมสารีริกธาตุ ดังข้อความซึ่งสรุปจากคำกล่าวของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวน เขตต์ ว่า ผู้ที่ได้กระทำกุศล คือ ได้ศึกษาธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และทำทุกอย่างที่จะ ดำรงพระศาสนาด้วยความถูกต้องไว้ เมื่อได้มีโอกาสที่จะกระทำสิ่งที่เป็นพรอัน ประเสริฐที่มีโอกาสจะได้สร้างที่ครอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนี้ ก็คงจะ ได้ร่วมใจกัน ซึ่งทุกครั้งที่มีการกระทำอะไร มูลนิธิฯ ไม่มีการเรี่ยไร ทุกคนมา ด้วยศรัทธา ทุกอย่างที่ทำมาจากแรงศรัทธาของทุกคน (คัดลอกจาก ... พร อันประเสริฐ ... สร้างที่ครอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่ สารนาถ โดย มศพ. วันที่ 27 ม.ค. 55)

และวันที่รอคอยที่จะได้ถวายพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต ที่สำเร็จสวย งามอลังการตามความตั้งใจ ด้วยแรงศรัทธาของทุกฝ่าย แก่สมาคมมหาโพธิ สารนาถ ก็ มาถึงในวันนี้ พวกเรามากันหลายสาย (ตามเหตุปัจจัย) คือ ทัพหน้า นำโดยคุณเล็ก สุ รภา ภวนานันท์ 82 ท่าน ทัพหลวง นำโดยท่านอาจารย์ ประมาณ 160 ท่าน และทัพ หลัง (พวกมาทีหลังและกลับก่อน) นำโดยน้องเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล และคุณขาว เกรียงศักดิ์ อีกประมาณ 20 ท่าน มาพบกันในวันนี้ที่พระมูลคันธกุฎี สารนาถ เมืองพารา ณสี พวกเราจึงรีบไปพระมูลคันธกุฎีแต่เช้า เพื่อไปคอยต้อนรับท่านอาจารย์ คราวนี้ไปถึง ก่อนท่าน และได้คอยยืนต้อนรับท่านและคณะจริงๆ ท่านบอกว่า ดีแล้วที่มากันแต่เช้า เพราะเดี๋ยวคนจะเยอะมาก

พวกเราได้เข้าไปนั่งในพระมูลคันธกุฎีที่ดูสวยงามในยามเช้าที่แสนสดใส อากาศ หนาวเย็น บริเวณโดยรอบประดับด้วยธงฉัพพัณณรังสี ธงพระพุทธศาสนาของศรีลังกา ได้กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและได้เทินศีรษะในที่ประดิษฐานเดิม และได้กราบ นมัสการอีกครั้งในพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต

ไม่ได้ถ่ายภาพ เพราะคนมากมาย ลุกนั่งไม่สะดวก แต่คงได้ชมภาพถ่ายจากหลายท่าน โดยเฉพาะของน้องวันชัย ภู่งาม ประชาสัมพันธ์มูลนิธิฯ ในกระทู้ของท่านแล้ว


พวกเราผู้ร่วมบริจาคปลื้มปีติที่ได้ถวายสิ่งสวยงาม อลังการ มีค่ามาก อย่างพระรัตน บุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต เป็นพุทธบูชาแล้ว แต่ไม่ทราบว่า ขณะที่ปลื้มปีตินั้นก็ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดดับเหมือนสภาพธรรมอื่นๆ ที่เป็นอนัตตา ถ้าติดข้องใน ความสวยงาม หรือความปลื้มปีตินั้นก็เป็นอกุศล ทั้งนี้เพราะกุศลนั้นยังเป็นอามิสบูชา ซึ่ง แม้จะเป็นกุศล ก็ยังเป็นเหตุให้อยู่วัฏฏะ ยังไม่ใช่ปฏิบัติบูชาที่พระผู้มีพระภาคทรง สรรเสริญว่า เป็นการบูชาที่เลิศที่สุด ที่เกิดขึ้นจากการฟังพระธรรมแล้วไตร่ตรองให้เข้า ใจ จนกระทั่งสามารถรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความ เป็นจริง จนเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งความเข้าใจนี้ ไม่สามารถเกิดได้เอง ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ดังนั้นจึงควร ถึงอริยสาวิตรี พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ซึ่งเป็นเบื้อง ต้นของพระไตรปิฎก เพราะเกิดความเลื่อมใสว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้ในสิ่งที่คนอื่นและตน เองไม่รู้ จึงทรงเป็นที่พึ่งได้ เพราะทราบว่าความรู้ของพระองค์ทำให้หมดทุกข์ทั้งปวงได้ (จากบางตอนของคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในชั่วโมงพระ สูตร วันเสาร์ที่ 22 ธ.ค. 55)

หลังจากพิธีถวายแล้ว คณะท่านอาจารย์ก็ไปถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุที่ สมาคมมหาโพธิ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเรา ทัพหน้า แยกไปถวายผ้าป่าที่วัดไทยสารนาถ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืน คิดว่า จำลองแบบจากพระพุทธรูปในอัฟกานิสถานที่ถูก พวกตาลิบันยิงทำลาย วัดนี้เจริญก้าวหน้าด้วยสิ่งก่อสร้างมากมายหลายอย่าง ดูสวยงาม กว่าปีก่อนที่ไปมาก

เมื่อพระภิกษุทราบว่า พวกเรามาจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ก็บอกว่า ให้ไปช่วยกันเผยแพร่ที่อินเดียบ้าง แต่คิดว่า การจะให้คนอินเดียที่นับถือฮินดูเปลี่ยนมา เป็นพุทธนั้นคงยาก แต่คนไทยที่นับถือพุทธแบบฮินดูจะมีมากกว่า

เพราะนิยมบนบาลขอสิ่งนั้นสิ่งนี้จากพระพรหมบ้าง พระพิฆเนศบ้าง จากจิ้งจก 2 หาง บ้าง ตุ๊กแกยกมือไหว้บ้าง ต้นไม้และภูเขา หรืออะไรๆ ที่แปลกๆ โดยไม่รู้เลยว่า นั่นไม่ใช่ คำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นกรรมวาที วิริยวาที ยกย่องการกระทำและความเพียร คนส่วนใหญ่นิยมความสบาย ไม่ต้องทำแล้วได้อย่างที่ตั้งใจ เมื่อทราบว่า กราบไหว้สิ่งใด แล้วได้ ก็พากันกราบไหว้ ศาสนาพุทธซึ่งต้องอาศัยความเห็นถูก เข้าใจถูกในเรื่องกรรม และผลของกรรม จะได้สิ่งใดต้องจากการกระทำด้วยตนเอง ไม่ใช่ด้วยการอ้อนวอน จึงเผยแพร่ได้ยากกว่า แม้แต่ในคณะที่ไปด้วยกัน หลายคนก็ยังไม่เข้าใจคำสอนของ พระพุทธศาสนา ยังทำบุญเพื่อขอให้ได้สิ่งที่ต้องการ เพราะยังไม่เข้าใจว่า ไม่ได้ได้ เพราะขอ แต่ได้เพราะเหตุปัจจัย คือ กุศลที่ทำแล้ว ทำทานก็เพื่อสละความตระหนี่ ไม่ใช่ ให้เพื่อขอ ให้ได้มากกว่าที่ให้

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่อง ความปรารถนาที่สมหวังได้โดยยาก แก่ท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี มี 4 อย่าง คือ 1. ขอให้ทรัพย์จงเกิดแก่ข้าพเจ้าโดยธรรม 2. ขอให้ยศจง เกิดแก่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งญาติมิตรและบริวารโดยธรรม 3. ขอให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนยาว 4. ตายแล้ว ขอให้ได้ไปสวรรค์ และทรงแสดงเหตุให้สมหวังทั้ง 4 ประการนี้ คือ 1. ถึงพร้อม ด้วยศรัทธา 2. ถึงพร้อมด้วยศีล 3. ถึงพร้อมด้วยจาคะ 4. ถึงพร้อมด้วยปัญญา ซึ่งไม่มีข้อ ใดให้ขอหรืออ้อนวอนจากสิ่งที่ตนเองคิดว่า ศักดิ์สิทธิ์เลย (แม้แต่ขอจากพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะพระองค์ทรงเป็นศาสดา ผู้สอน สาวก ผู้ ฟัง เป็นผู้ปฏิบัติเอง)

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่แสนอร่อยที่โรงแรมทัชเกทเวย์แล้ว ก็พากันไป สารนาถที่อยู่ใกล้ๆ กัน ประมาณ 5 กม. พวกหนึ่งไปชมพิพิธภัณฑ์สารนาถ อีกพวกไปชม สถานที่สำคัญในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน และเมื่อพร้อมกันทั้ง ๒ กลุ่มแล้ว ก็ช่วยกันห่ม ผ้าธัมเมกสถูป ด้วยผ้าตาดเงินสวยงาม ดูเหมือนเจดีย์สีเงินที่ส่องประกาย น่าเลื่อมใส ศรัทธาอย่างยิ่ง

ระหว่างคอยสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ที่ธัมเมกสถูป ก็ชื่นชมกับผ้าที่ห่มพระเจดีย์ ด้วยความสมัครสมานสามัคคี และเตรียมพร้อมฟังพระธรรมในสถานที่แสดงปฐมเทศ เทศนาแห่งนี้ แม้จะห่างไกลกับคำว่า “ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้” แต่ก็รู้ว่า ต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยจากการฟัง สักวันหนึ่งก็จะ สามารถประจักษ์แจ้งขณะที่กำลังปรากฏได้ เมื่อเหตุสมควรแก่ผล


และเมื่อท่านอาจารย์เดินทางมาถึง ก็ได้เวลาเวียนเทียนประทักษิณพอดี

เมื่อเวียนเทียนเสร็จ ก็เดินไปที่พระมูลคันธกุฎี เพื่อเวียนเทียนประทักษิณพระบรม สารีริกธาตุในพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรตอีกครั้ง

แต่ละวันได้เจริญกุศลทุกประการ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ น่าอนุโมทนาในกุศลศรัทธาและ วิริยะของทุกๆ ท่านจริงๆ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

"จึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง

ที่พวกเราชาวมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

จะได้ร่วมกันเจริญกุศลในครั้งนี้

อันเป็นการกระทำสิ่งที่สมควรที่สุดแก่พระบรมสารีริกธาตุ"

.....................

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง และทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมามัสพุทธเจ้าพระองค์นั้น

และขอกราบเท้าบูชา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ท่านได้นมัสการกราบเรียน

ท่านพระสีวลีเถระ ทำให้มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้มีโอกาสสร้างและถวาย

พระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต ที่เมืองสารนาถในครั้งนี้

และขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผิน
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
panasda
วันที่ 24 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pamali
วันที่ 25 ธ.ค. 2555
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 26 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 12 ก.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เฉลิมพร
วันที่ 20 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Kalaya
วันที่ 13 ม.ค. 2565

สาธุ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ