เรียนถามเรื่องการถวายทาน
สวัสดีครับ
วันนี้ มีข้อสงสัยเรื่องการถวายทานมาเรียนถามครับ ในงานเลี้ยงเพลพระ ถ้าแม่ครัวเป็นคนถวายสำรับอาหารเอง โดยที่เจ้าภาพไม่ได้ถวายด้วยตนเอง ในกรณีอย่างนี้ เจ้าภาพจะได้บุญหรือไม่ หากได้ ใครจะได้บุญมากกว่าครับ สาเหตุที่ถาม เพราะว่า มีคนบอกว่า ถ้าไม่ได้ถวายด้วยตนเอง จะไม่ได้บุญ ... ฯ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุญ อยู่ที่จิต เพราะฉะนั้น กุศลขั้นทาน ก็คือ เจตนาที่จะให้ในขณะนั้น ขณะนั้นเป็นบุญ เพราะฉะนั้น หากเจ้าภาพไม่ได้ถวายเอง ให้คนอื่นถวาย แต่เจ้าภาพก็มีเจตนาสละ มีจิตคิดจะให้แล้ว ก็เป็นบุญแล้วในขณะนั้น โดยให้คนอื่นให้ทาน พระท่านก็ได้รับ คือผู้รับก็ได้ในทานที่ตนเองเป็นคนออกเงินเป็นเจ้าภาพมีเจตนาสละให้ กรรมคือกุศลขั้นทานก็เป็นอันสำเร็จแล้วด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น จะเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล ก็สำคัญที่จิต หากมีจิตคิดสละก็เป็นบุญครับ
ส่วนกรณีที่ถามว่าใครจะได้บุญมากกว่ากัน บุญจะมากหรือน้อย สำคัญที่สภาพจิตเป็นสำคัญด้วย และผู้ที่รับทานนั้น ในกรณีนี้ ผู้ที่รับทาน ต่างก็เป็นบุคคลเดียวกันจึงสำคัญที่สภาพจิตครับ ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าจะเป็นบุญกุศลมากหรือน้อย หากสภาพจิตผ่องใสและประกอบด้วยปัญญา มีการเชื่อกรรมและผลของกรรมในขณะให้ บุญกุศลก็มีมาก เพราะจิตบริสุทธิ์ ไม่ได้มีการต้องการผลบุญที่เป็นโลภะสลับกับกุศล แต่ถ้าเกิดจิตอกุศลสลับ เช่น อยากได้บุญหรือหวังผลของบุญที่ทำ หรือเป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา สภาพจิตก็หยาบไม่ละเอียดเท่ากุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาครับ บุญก็ย่อมน้อยกว่า ตามสภาพจิต เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่จิตของผู้ให้ทานเองหรือผู้ที่เป็นเจ้าภาพ ว่าสภาพจิตเป็นอย่างไรครับ
ส่วนการให้ทานด้วยมือของตน ย่อมจะเป็นการเคารพในทาน แสดงถึงความมีกำลังที่สามารถที่จะให้ได้ด้วยตนเองครับ
ซึ่งจะขอยกตัวอย่าง เช่น พระเจ้าปายาสิ เป็นพระราชา ฝากคนใช้ใส่บาตรกับพระภิกษุ พระเจ้าปายาสิเกิดกุศลจิตคิดจะให้ แต่ไม่เคารพในทาน สักว่าให้ และฝากคนอื่น ก็ได้ผลของกุศล แต่เกิดในสวรรค์ชั้นที่ ๑ คือ จาตุมหาราชิกา ส่วนคนใช้ที่ถวายด้วยมือของตน ที่พระเจ้าปายาสิฝากให้ถวายพระ ได้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่สูงกว่า เพราะความเคารพในทาน จิตละเอียดกว่า และให้ด้วยมือของตน แต่ทั้งสองก็เกิดกุศลจิตทั้งคู่ครับ เพียงแต่สภาพจิตแตกต่างกัน ผลของบุญจึงแตกต่างกันไปตามสภาพจิตครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อละความไม่รู้ แม้ในเรื่องของการเจริญกุศล ก็ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อขัดเกลากิเลส กุศลเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ควรที่จะอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นจะเบาสบายผ่องใส ซึ่งจะตรงกันข้ามกับขณะที่จิตเป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง แม้ในขณะที่ให้ทาน ประโยชน์จริงๆ คือเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียด การให้ทานจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีวัตถุที่จะพึงให้ ถ้าสะดวกก็สามารถให้ด้วยตนเอง ถ้าไม่สะดวกในบางโอกาสก็สามารถบอกกล่าวเพื่อให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ได้ ขณะนั้นก็มีจิตใจที่ดีที่จะสละวัตถุทานเพื่อประโยชน์แก่ผู้รับแล้ว
ถ้าเป็นผู้ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ก็จะทำให้เห็นอกุศลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วเริ่มขัดเกลากิเลสของตนเองและเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุในผลมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดย่อมเป็นเพราะได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ การเจริญกุศลทั้งหลาย ที่ถูกต้องแล้ว ควรจะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสของตนเองครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ได้บุญทั้งเจ้าภาพและคนที่ไปถวายเอง เช่น ในพระไตรปิฎกแสดงว่า เศรษฐีคนหนึ่งให้คนใช้ไปใส่บาตร ได้บุญทั้งสองท่าน แม้เศรษฐีจะเสียดายของที่ให้เพราะไปให้ของที่ประณีตกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ก็ทำให้ท่านเกิดเป็นคนรวยเพราะผลของบุญ แต่ไม่ยอมบริโภคของดีค่ะ