หลังพุทธกาล 2500 คนจะนับถืออมนุษย์ ยิ่งกว่าศีลธรรม

 
Nop.p
วันที่  27 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22244
อ่าน  3,592

ตามพยากรณ์จริงหรือไม่ หลังพุทธกาล ๒๕๐๐ คนจะนับถืออมนุษย์ ยิ่งกว่าศีลธรรม

- ในประเทศไทย ๖๗ ล้านคน ๙๕% นับถือพระพุทธศาสนาตามสำมะโนครัว แท้จริงแล้วพวกเขานับถืออะไร

- ตามข่าวและความเป็นไปของสังคมคนไทย (พุทธ) พฤติกรรมที่เห็นและรับทราบเช่น ขอหวย ทา ขูด ขีด เขียน ดูดวงระบบ IT เยอะแยะ พระสงฆ์ทำพิธีกรรมต่างๆ ในทางอาคมขลัง หรือแม้แต่ สามเณรและพระสงฆ์เป็นเจ้าทรงเสียเองก็มี ทาง Tv. ก็มีรายการหลายอย่างที่มอมเมาเยาวชน (พุทธ)

- ขณะนี้ พ.ศ. ๒๕๕๖ (อีกนิดเดียวเผื่อไว้) กี่ปีมาแล้วที่ผมเฝ้าติดตามพฤติกรรมของคนอยู่หลายทศวรรษที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นจริงๆ หรือว่ามันจะเป็นจริง?

- จะเห็นได้ว่าประเทศไทย คนไทย มีการ corruption เป็นสถิติต้นของโลก บุคคลเหล่านั้นล้วนเรียกตนเองว่าปัญญาชนคนสร้างชาติ แต่มโนธรรมมีไหน หรือนี่คือกึ่งพุทธกาล

- ในสมัยพุทธกาลมีวรรณะ ขณะนี้ก็มีวรรณะ หรือไม่อย่างไร ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วขณะนี้ก็มีอยู่ แต่จิตใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึงหรือไม่

ขอรบกวนครับอาจารย์ อนุโมทนาบุญครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อสัตว์โลก คือมนุษย์ มีอายุขัยน้อยกว่า ๑๐๐ ปี สัตว์โลกจะหนาไปด้วยกิเลส กิเลสมีกำลังมาก เพราะฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาของสัตว์โลกที่ไหลไปตามกิเลสที่สะสมมา และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็สามารถทำบาปได้ทุกประการ ไม่ต้องกล่าวถึงการล่วงศีล ๕ แม้แต่การทำอนันตริยกรรมก็สามารถทำได้ เพราะโทษของความเป็นปุถุชน ดังนั้น ทุกคนก็เป็นไปตามการสะสม ซึ่งพระธรรมไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่สะสมปัญญา สะสมความเห็นถูก แม้ไม่มีชื่อว่าเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา แม้ไม่ได้กล่าวหรือมีหลักฐาน แต่ใจก็เป็นพุทธ เพราะ พุทธ คือปัญญาความเข้าใจถูกเกิดขึ้นในจิตใจแล้ว เพราะฉะนั้น การเป็นชาวพุทธจึงเป็นที่จิตใจที่มีความเข้าใจพระธรรม เกิดพุทธ คือปัญญาความเห็นถูก ซึ่งแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่สามารถไปจัดการอะไรได้ ควรที่จะเห็นความดีของผู้อื่นเพื่ออนุโมทนา และเห็นความชั่วของผู้อื่น เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตใจของตนเองว่า เราก็มีกิเลสเช่นนั้นพร้อมที่จะเป็นเช่นนั้นได้ เพราะต่างก็เต็มไปด้วยกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ปัญญาที่เกิดขึ้นย่อมจะเข้าใจเหตุการณ์บ้านเมืองตามความเป็นจริง ว่าไม่มีเรา ไม่มีใคร มีแต่ จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นเป็นไป อกุศลจิตบ้าง กุศลจิตบ้าง หาสัตว์ บุคคล ที่มีกิเลสไม่ได้เลย

การเข้าใจอย่างนี้ ก็จะทำให้ใจสบายที่เข้าใจความจริง พร้อมๆ กับละความไม่รู้ของตนเอง ที่สำคัญ ยึดถือผิดว่า มีเรา มีเขา ที่ทำบาป เพราะประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมไม่ใช่อยู่ที่การละกิเลส จัดการกิเลสของคนอื่น แต่ คือการละ สละกิเลสของตนเอง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ

ส่วนประเด็นเรื่องวรรณะ ว่าปัจจุบัน มีวรรณะ หรือไม่

- วรรณะ คือ การแบ่งชนชั้น ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ที่คิดว่า แต่ละคนที่เกิดมาแตกต่างกัน แต่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก ทรงตรัสรู้ความจริงและรู้ตามความเป็นจริงว่า สัตว์โลก ไม่ได้แตกต่างกัน เพียงอาศัย โคตร กำเนิด ที่สมมติบัญญัติว่าแตกต่างกัน แต่ผู้ใดจะประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ ไม่ได้สำคัญที่วรรณะการเกิด แต่ สำคัญที่การกระทำ ความประพฤติของบุคคลนั้น แม้เกิดในชาติตระกูลที่สมมติว่าดี แต่การกระทำไม่ดี ก็ไม่ชื่อว่าประเสริฐ แต่แม้ว่าเกิดในชาติตระกูลที่สมมติว่าไม่ดี แต่การกระทำ ความประพฤติดี ก็ชื่อว่าประเสริฐ

สมดังที่ สุนทริกพราหมณ์ เข้ามาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์เป็นโคตรหรือวรรณะใด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เธออย่าได้ถามเราถึงโคตรเลย เธอจงถามเราถึงกรรม การกระทำของเรา เพราะฉะนั้น ความบริสุทธิ์ประเสริฐ สำคัญที่จิตใจ และกาย วาจาที่แสดงออกมาจากใจที่ดีหรือไม่ดีเป็นสำคัญ

ซึ่งปัจจุบัน จะกล่าวว่ามี วรรณะ การแบ่งชนชั้นหรือไม่นั้น ก็จะต้องมีกันทุกยุคทุกสมัย เพราะสัตว์โลกย่อมมีกิเลส ย่อมจะแบ่งชนชั้นตามกิเลสของตนที่สำคัญว่าตนเองดีกว่าหรือด้อยกว่า ก็เพราะอาศัยความไม่รู้และอาศัย มานะ ความสำคัญตน ทำให้มีการเปรียบเทียบ จึงมีการแบ่งชนชั้น ซึ่งในความเป็นจริง สัตว์ บุคคล ไม่มี จะมีชนชั้นได้อย่างไร เพราะความเป็นจริงก็เสมอกันโดยธาตุ พระพุทธเจ้าทรงแบ่งเป็นธาตุเลว ธาตุปานกลาง ธาตุประณีต เป็นต้น ธาตุเลวคือ ไม่ว่ายากดีมีจน อกุศลจิตเกิด ก็เสมอกันโดยธาตุที่เป็นธาตุเลว กุศลจิตเกิด ไม่ว่าจะยากดีมีจน ก็ชื่อว่าเป็นธาตุดี ประณีตเป็นต้น การเข้าใจความจริง ย่อมไม่แบ่งชนชั้น เพราะเข้าใจสำคัญว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา เสมอกันโดยความป็นธาตุ ที่เป็นแต่เพียง จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่สำคัญ คือขณะนี้ แต่ละคนก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และยังอยู่ในช่วงที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำรงอยู่ แล้วจะดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สะสมมาแตกต่างกัน พฤติกรรมจึงแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรม ก็ย่อมจะไม่ปล่อยเวลาแห่งการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้ล่วงเลยไป เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานมรดกที่ล้ำค่าให้กับพุทธบริษัท คือพระธรรม แต่ถ้าผู้ใดไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ผู้นั้นก็จะไม่ได้รับมรดกอันล้ำค่านี้เลย

การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ได้สะสมความดีและสะสมปัญญา ย่อมเป็นชีวิตที่คุ้มค่า คุ้มค่าแล้วกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะครบถ้วน [พร้อมที่จะรองรับพระธรรม] และได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระธรรมซึ่งหาฟังได้ยากเป็นอย่างยิ่งจากบุคคลผู้มีปัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรม คือนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ต่อไป

เวลาของแต่ละบุคคล เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าไม่เริ่มฟัง ไม่เริ่มศึกษาตั้งแต่ในขณะนี้ การที่จะฟัง การที่จะศึกษาในขณะต่อๆ ไป ก็จะมีไม่ได้ เริ่มต้นตั้งแต่ในขณะนี้ เป็นการดีอย่างยิ่ง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 1 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
lovedhamma
วันที่ 2 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ธ.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ