ร่วมพิธีถวายพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต 8 สาวัตถี
สาวัตถี
29 พ.ย. 55
เดินทางออกจากเนปาล กลับมาอินเดีย เพื่อไปกรุงสาวัตถี แคว้นโกศล กรุงสาวัตถี แม้จะไม่อยู่ในสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ทรงแสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานก็ตาม แต่ก็มีความสำคัญมากเพราะพระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถึง ๒๕ พรรษา และที่วัดบุพพาราม ของท่านมหาอุบาสิกาวิสาขาอีก ๙ พรรษา นอกจากนั้นยังมีสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งที่ยังมีหลักฐานให้เห็นอยู่ เช่น สถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านปุโรหิตบิดาของท่านพระองคุลีมาล สถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ เป็นต้น
เมื่อรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมพาวันแล้ว ก็ไปที่พระวิหารเชตวัน เพื่อรอ ฟังสนทนาธรรมสด จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ส่งทางไกลผ่านโทรศัพท์มือถือจากธัมเมกสถูปเมืองพาราณสี ซึ่งฟังได้ชัดเจนดีมาก ต้องขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนทำให้การเดินทางครั้งนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะถ้าไม่ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ ก็เหมือนขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป
เมื่อฟังธรรมพอสมควรแก่เวลาแล้วก็พากันไปเวียนเทียนประทักษิณรอบพระคันธกุฎี ที่ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ถึง ๒๕ พรรษา และมีกล่าวไว้ว่า ที่ตั้งขาเตียงของพระผู้มีพระภาคทุกพระองค์จะอยู่ที่เดิมตลอด เช่นเดียวกับสถานที่ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพาน และแสดงยมกปาฏิหาริย์ ที่ธรรมสภาในพระวิหารเชตวัน เป็นที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ในตอนเย็นจะมี ผู้มีศรัทธาเดินถือดอกไม้ของหอมเข้ามาในพระวิหาร เพื่อเฝ้าฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ มากมาย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย พระเจ้าแผ่นดิน มหาอำมาตย์ พ่อค้า รวมถึงคนขอทาน หรือคนวิกลจริตก็มี เมื่อได้ฟังความจริงของสภาพธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ถ้าสะสมบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว ท่านเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนจากปุถุชน คนธรรมดาที่เป็นทั้งพระเจ้าแผ่นดิน มหาอำมาตย์ พ่อค้า ขอทาน หรือคนวิกลจริตให้เป็นพระอริยบุคคล ได้เหมือนกันหมด อย่างเช่น ท่านพระเถรีปฎาจารา ที่ท่านเสียสติก่อนได้มาฟังธรรม หรือท่านสุปปพุทธกุฎฐิ ขอทานขี้เรื้อน ฟังธรรมแล้วก็ได้เป็นพระโสดาบัน เป็นต้น
ระธรรมจึงมีคุณอย่างเดียว ไม่ว่าจะฟังเมื่อไร ถึงแม้จะยังไม่ประจักษ์ในตอนนี้ แต่ก็จะสะสมเป็นอุปนิสัยในภพต่อๆ ไป ถ้าเข้าใจสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงจำเรื่องราวของธรรม แต่แม้เพียงจำเรื่องราวของธรรม ด้วยความเข้าใจก็ยังมีประโยชน์ อย่างเช่นเมื่อนั่ง เครื่องบินกลับจากสนามบินลักเนาว์มาโกลกาตานั้น หญิงสูงอายุชาวอินเดียเสียชีวิต กะทันหันด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันในเครื่องบิน สหายธรรมก็พูดสิ่งที่เตือนใจกันทั้ง นั้น เช่น ท่านหนึ่งเห็นลูกชายของผู้ตายร้องไห้เสียงดัง ก็บอกว่า น้ำในมหาสมุทรยังน้อยกว่าน้ำตาในการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาอีก ท่านก็บอกว่า เป็นตัวอย่างว่าจุติจิตจะเกิดขณะไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ อีกท่านก็บอกว่า เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมว่า บังคับบัญชาไม่ได้ว่า อย่าเพิ่งตายเลย ขอให้ถึงสนามบินก่อนเถอะ แต่ละคนก็พูดไปตามความเข้าใจธรรมของตน ซึ่งได้จากการฟัง พระธรรมนั่นเอง เพราะไม่มีใครสามารถจะคิดเรื่องธรรมได้ด้วยตนเอง ต้องเป็น พระปัญญาตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เสร็จแล้วก็พากันวางเทียนไฟฟ้าที่ไม่มีน้ำตาเทียนรอบๆ พระคันธกุฎี แล้วไปห่มผ้า ต้นโพธิ์พระอานนท์ในบริเวณใกล้เคียง
ก่อนถึงโรงแรมแวะถวายผ้าป่าที่วัดไทยเชตวัน มีคณะคนไทยมาคอยอยู่ก่อน จึง ถวายพร้อมกัน เป็นผ้าป่าสามัคคี
เป็นอันจบรายการแสวงบุญในครั้งนี้ ทุกวันทำบุญตั้งแต่เช้ายันค่ำ ซึ่งอยู่เมืองไทยไม่เคยทำอย่างนี้เลย บางท่านบอกว่า สวดมนต์มากกว่าอยู่เมืองไทยเสียอีก เพราะเหตุปัจจัยต่างกันนั่นเอง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่รักตนเองอย่างถูกต้อง คือ รักตนเองด้วยการทำสุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ ด้วยการเจริญกุศลทุกประการ เพราะยังมีตน จึงยังรักตนอยู่ บางคนทำทุจริตเพราะรักตน เนื่องจากไม่ทราบว่าทุจริตนั้นให้ผลเป็นทุกข์ เดือดร้อน และยังสะสมอยู่ในจิตทำให้ทำอกุศลได้ง่าย แต่บางท่านเมื่อได้รู้ความจริงแล้ว ก็เลิกกระทำทุจริต มาทำสุจริต เช่น นางสุชาดา บุตร สะใภ้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในภริยาสูตร ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเมื่อไป เสวยภัตตาหารที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และได้ยินเสียงนางสุชาดาอื้ออึง นางไม่เคารพสามี พ่อสามี แม่สามี ผู้ใหญ่ในสกุลและสมณะ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ลักษณะของภริยาที่ไม่ดี ๗ พวก และภริยาดี ๗ จำพวก เมื่อนางฟังพระธรรมจบ ก็กล่าวว่า เพราะดิฉันไม่ทราบจึงเป็นภริยาที่ไม่ดี แต่เมื่อทราบแล้ว ต่อไปนี้จะเป็น ภริยาที่ดี
จะเห็นได้ว่า เพราะความไม่รู้นั้นทำให้ทำสิ่งที่ผิดตามการสะสมได้ แต่เมื่อรู้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดสมควร ก็เลิกการกระทำไม่ดีนั้นได้ ให้เป็นกายสุจริต วจีสุจริต และที่สำคัญที่สุด ต้องมีมโนสุจริตด้วยการเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เมื่อยังไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็ยังเป็นตน ยังเป็นเรา ยังเป็นของเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ เมื่อพิจารณาแล้วก็จะรู้ว่า มีความไม่รู้มากแค่ไหน เพราะสะสมความไม่รู้มามาก สะสมความไม่รู้มานาน จึงไม่รู้ อะไรเลยทั้งสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงไม่ควรประมาทใน การฟังพระธรรม ที่ท่านอาจารย์นำมาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ ว่า เห็นเป็นอย่างไร แข็งเป็นอย่างไร ฯลฯ คิดว่าตนเองรู้แล้ว แต่จริงๆ นั้นรู้เพียงเรื่องราว ถ้ายังไม่รู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจสิ่งที่ ตนเองฟังซ้ำๆ บ่อยๆ เลย กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อ ศึกษา และเผยแพร่ความเห็นถูกของท่าน ให้แพร่หลายต่อไปแก่ ผู้มีศรัทธาที่จะรู้ ความจริงไม่ว่าจะเป็นใคร เชื้อชาติใด อยู่ไกลหรือใกล้อย่างไรก็ตาม ขอบุญกุศลที่พวกเราทั้งหมดทำมาแล้วจงเป็นปัจจัยให้ท่านอาจารย์มีอายุยืนยาว มี สุขภาพแข็งแรง เพื่อเผยแพร่ความเห็นถูกต่อไปตราบนานเท่านาน
กราบเท้าขอบพระคุณ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งครับขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์กาญจนา ที่มอบเครื่องปรุงแต่งที่ดีๆ ให้ได้อ่านและได้ศึกษาอยู่เสมอๆ ครับ
"...จึงไม่ควรประมาทในการฟังพระธรรม ที่ท่านอาจารย์นำมาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ ว่า เห็นเป็นอย่างไร แข็งเป็นอย่างไร ฯลฯ คิดว่าตนเองรู้แล้ว แต่จริงๆ นั้นรู้เพียงเรื่องราว ถ้ายังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองฟังซ้ำๆ บ่อยๆ เลย..."
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดงด้วยครับ