เรื่องนกขมิ้นกับลิงวิวาทกัน

 
pirmsombat
วันที่  8 ม.ค. 2556
หมายเลข  22299
อ่าน  6,373

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจาก

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 178

เรื่องนกขมิ้นกับลิงวิวาทกัน

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุง-

พาราณสี นกขมิ้นตัวหนึ่ง ทำรังอยู่ในหิมวันตประเทศ. ต่อมาวันหนึ่ง

เมื่อฝนกำลังตก, ลิงตัวหนึ่ง สะท้านอยู่เพราะความหนาว ได้ไปยังประเทศ

นั้น. นกขมิ้นเห็นลิงนั้น จึงกล่าวคาถาว่า๑:-

" วานร ศีรษะและมือเท้าของท่านก็มีเหมือน

ของมนุษย์, เมื่อเช่นนั้น เพราะโทษอะไรหนอ?

เรือนของพ่านจึงไม่มี."

ลิง คิดว่า " มือและเท้าของเรามีอยู่ก็จริง, ถึงกระนั้น เรา

พิจารณาแล้ว พึงกระทำเรือนด้วยปัญญาใด, ปัญญานั้นของเราย่อมไม่มี."

ใคร่จะประกาศเนื้อความนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-

" นกขมิ้น ศีรษะและมือเท้าของเรา ย่อมมี

เหมือนของมนุษย์, บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาใด

ประเสริฐในมนุษย์ทั้งหลาย, ปัญญานั้น ย่อมไม่มี

แม้แก่เรา."

ลำดับนั้น เมื่อนกขมิ้นจะติเตียนลิงนั้นว่า "การอยู่ครองเรือน

จักสำเร็จแก่ท่านผู้เห็นปานนี้ได้อย่างไร?" จึงกล่าว ๒ คาถานี้ว่า:-

" สุขภาพ ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตไม่มั่นคง

มีจิตเบา (กลับกลอก) มักประทุษร้ายมิตร มีปกติ

ไม่ยังยืนเป็นนิตย์ ท่านนั้นจงกระทำอานุภาพเถิด

๑. ขุ. ชา. จตุกก. ๒๗/๑๒๔. อรรถกถา. ๔/๓๑๕.

๒. ถ้าตัดบท ยาห เป็น ยา - อหุ ก็แปลว่า แต่ข้าพเจ้าไม่มีปัญหา ที่เป็นสิ่งประเสริฐสุด

ในหมู่มนุษย์.

จงเป็นไปล่วงความเป็นปกติ (ของตน) เสีย,

จงกระทำกระท่อมเป็นที่ป้องกันหนาวและลมเกิด กบี่."

ลิง คิดว่า "นกขมิ้นตัวนี้ ย่อมกระทำเราให้เป็นผู้มีจิตไม่มั่นคง

มีจิตเบา มักประทุษร้ายมิตร มีปกติไม่ยั่งยืน, บัดนี้ เราจักแสดงความ

ที่เรามักเป็นผู้ประทุษร้ายมิตรต่อมัน" จึงขยี้รังโปรยลงแล้ว. นกขมิ้น

เมื่อลิงนั้น จับเอารังอยู่นั่นแหละ หนีออกไปโดยข้างหนึ่งแล้ว.

ทรงประมวลชาดก

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประมวล

ชาดกว่า "ลิงในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุผู้ประทุษร้ายกุฎีในบัดนี้, นก

ขมิ้น คือกัสสป." ครั้นประมวลชาดกนาแล้ว จึงตรัสว่า "อย่างนั้น

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น ประทุษร้ายกุฎีในบัดนี้เท่านั้นหามิได้, แม้ใน

กาลก่อน ภิกษุนั้นโกระในเพราะโอวาทแล้ว ก็ประทุษร้ายกุฎีแล้ว

(เหมือนกัน) ; การอยู่ของกัสสปบุตรเราคนเดียวเท่านั้น ดีกว่าการอยู่

ร่วมกับคนพาลผู้เห็นปานนั้น" ดังนี้แล้ว ตรัสพะคาถานี้ว่า:-

๒. จรญฺเจ นาธิคจฺเฉยฺย เสยฺยํ สนทิสมตฺตโน

เอกจริยํ ทฬฺหํ กยิรา นตฺถิ พาเล สหายตา.

ถ้าบุคคลเมื่อเที่ยวไป ไม่พึงประสบสหาย

ผู้ประเสริฐกว่า ผู้เช่นกับ (ด้วยคุณ) ของตนไซร้,

พึงพำการเที่ยวไปคนเดียวให้มั่น,

เพราะว่า คุณเครื่องเป็นสหาย ย่อมไม่มีในเพราะคนพาล"

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า จรํ บัณฑิตพึงทราบการเที่ยวไป

ด้วยใจ ไม่เกี่ยวกับการเที่ยวไปด้วยอิริยาบถ. อธิบายว่า เมื่อแสวงหา

กัลยาณมิตร.

บาทพระคาถาว่า เสยฺยํ สทิสมตฺตโน ความว่า ถ้าไม่พึงได้

สหายผู้ยิ่งกว่า หรือผู้แม้กัน ด้วยคุณคือศีล สมาธิ ปัญญาของตน.

บทว่า เอกจริยํ ความว่า ก็ในสหายเหล่านั้น บุคคลเมื่อได้

สหายผู้ดีกว่า ย่อมเจริญด้วยคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น, เมื่อได้สหายผู้เช่นกัน

ย่อมไม่เสื่อมจากคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น, แต่เมื่ออยู่โดยร่วมกันกับสหาย

ที่เลว ทำการสมโภคและบริโภคโดยความเป็นพวกเดียวกัน ย่อมเสื่อม

จากคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น.

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำนี้ว่า "บุคคลผู้เห็น

ปานนั้น อันบัณฑิตไม่พึงเสพ ไม่พึงคบ ไม่พึงเข้าไปนั่งใกล้, เว้น ไว้

แต่ความเอ็นดู เว้นไว้แต่ความอนุเคราะห์."

เพราะเหตุนั้น หากบุคคลอาศัยความการุญ คิดว่า " บุคคลนี้

อาศัยเรา จักเจริญด้วยคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น" ไม่หวังตอบแทนอยู่ซึ่ง

วัตถุอะไร? จากบุคคลนั้น ชื่อว่าย่อมอาจสงเคราะห์บุคคลนั้นได้, การ

อาศัยความการุญ สงเคราะห์ดังนี้นั้นเป็นการดี; ถ้าไม่อาจจะสงเคราะห์

(อย่างนั้น) ได้. พึงทำความเที่ยวไปผู้เดียวให้มั่น คือว่า ทำความ

เป็นคนโดดเดี่ยวเท่านั้นให้มั่น อยู่แต่ผู้เดียวในอิริยาบถทั้งปวง

ถามว่า " เพราะเหตุอะไร?"

ตอบว่า

"เพราะคุณเครื่องเป็นสหาย ย่อมไม่มีในพระชนพาล."


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มิตร เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ คือ อาศัยมิตรดี ย่อมบรรลุธรรมได้ แต่ ถ้า มีมิตร

ที่ไม่ดี การอยู่คนเดียว คือ อยู่ด้วยมิตร ที่เป็นกุศลจิตของตนเองที่เกิดขึ้นประเสริฐ

กว่า เพราะ อมิตร มิตรที่ไม่ดี แม้อยู่ ก็ไม่สามารถจะทำให้คุณความดีของผู้นั้นเอง

และ ผู้อื่นเจริญได้ มีแต่ แนะนำสิ่งที่ไม่ดีและ เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ทำให้หวั่นไหวไป

ตามอำนาจกิเลสได้ เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น การอยู่ผู้เดียวด้วยความเข้าใจถูก

ประเสริฐ แต่ แม้อยู่คนเดียว แต่อยู่ด้วยความไม่เข้าใจ เห็นผิด ก็ไม่ประเสริฐ เพราะ

ฉะนั้นก็ต้องอาศัยมิตรที่ดี คือ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ขณะที่ฟังพระธรรม

ขณะนั้น กำลังคบมิตรที่ดี และ เกิดปัญญา ความเข้าใจถูก ขณะนั้นมีมิตรดีแล้ว ใน

ขณะนั้น

ขออนุโมทนาคุณหมอ ที่นำธรรมดีดี มาใ้ห้ศึกษาร่วมกันครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nong
วันที่ 9 ม.ค. 2556

พระธรรมคือมิตรอันประเสริฐ

ขออนุโมทนาคุณหมอเพิ่มสมบัติและสหายธรรมทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 9 ม.ค. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอ อาจารย์ผเดิม และทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pirmsombat
วันที่ 9 ม.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผเดิม คุณnong คุณผู้ร่วมเดินทาง และทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 9 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 10 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 10 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Boonyavee
วันที่ 11 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ