รบกวนช่วยวินิจฉัยทีครับว่าบาปหรือไม่

 
นิรมิต
วันที่  11 ม.ค. 2556
หมายเลข  22313
อ่าน  1,347

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

คือ กระผมเพิ่งระลึกถึงกรรมหนึ่งในอดีตได้ ซึ่งไม่ทราบว่าจะถือเป็นกรรมหนักมากหรือไม่ จึงขอเรียนถามเพื่อให้ท่านวิทยากรช่วยวินิจฉัยให้ทีครับ ว่าเป็นกรรมอะไร ล่วงกรรมบถข้อไหนหรือไม่ อย่างไร

คือสมัยเด็ก ประมาณเด็กประถม เคยได้ไปวัดๆ หนึ่งกับบิดา ที่วัดนั้นมีการสร้างหุ่นขี้ผึ้งของพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ถ้าจำไม่ผิด จำได้ว่ามีห้องให้ชมว่าหุ่นขี้ผึ้งนี้ท่านสร้างอย่างไร แล้วก็มีหุ่นขี้ผึ้งของเกจิอาจารย์ท่านต่างๆ หลายหุ่น ตัวผมในสมัยนั้นยังเด็ก ยังไม่เข้าใจอะไรมาก และเป็นคนกลัวหุ่นมาก เห็นหุ่นแล้วจะกลัวมาก ถูกพาไปดูห้องหุ่นขี้ผึ้งของพระเกจิอาจารย์ ก็ทำให้เกิดความกลัว อดกลั้นอยู่ได้ไม่นานก็ร้องไห้งอแงจะกลับก็เกิดคิดขึ้นว่า นี่เป็นวัดอะไรกัน ใช่วัดจริงๆ หรือ ทำไมวัดถึงต้องมีหุ่น (เพราะสมัยนั้นทราบแค่ว่า วัดก็ต้องมีพระอยู่ มีพระพุทธรูป แค่นั้น ไม่เคยเห็นรูปหล่อพระเกจิอาจารย์มาก่อน) แล้วจึงก็ได้มีวาจากล่าวออกมาทำนองว่า วัดบ้าๆ และคำพูดด่าทออื่นๆ แต่จำไม่ได้ ไม่ทราบว่าจะเป็นบาปมากหรือไม่ อย่างไร

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวมา สำคัญว่า มีเจตนาอย่างไรในการพูด หากมีเจตนาว่ากล่าวบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ก็เป็นกรรมที่ไม่ดีที่เกิดขึ้น อันเกิดจากจิตที่ไม่ดี เพราะวาจาที่ไม่ดี จะเกิดจากจิตที่ดีไม่ได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีทางกลับมาได้เลย และ ไม่มีใครล่วงรู้จิตใจของผู้อื่นได้ ในเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว นอกเสียจากใจของตนเองที่กำลังเกิดจิตอะไรในขณะนั้น

ประการที่สำคัญ ผู้ที่จะรู้ความเป็นไปของจิตจริงๆ ในขณะนั้น ก็ต้องมีปัญญารู้ความละเอียดของจิตของตนเองที่กำลังเกิดขึ้นว่าเป็นจิตอะไรด้วยปัญญา เพราะปัญญาที่เกิด ย่อมเป็นสภาพธรรมที่ตรง ที่จะรู้ว่าขณะนั้น มีเจตนาอย่างไร และมีจิตประเภทอะไรที่เกิดขึ้น ในขณะที่ทำกาย วาจาเหล่านั้นอยู่ ปัญญาของตนเองจึงเป็นเครื่องตัดสินการกระทำของตนเองที่ผ่านมา

ประโยชน์ที่สำคัญคือ อยู่กับปัจจุบันด้วยความเข้าใจ ว่าขณะนี้อะไรที่เป็นความจริง เพราะสิ่งที่ผ่านไปแล้วเกิดขึ้นและดับไปไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ และมีแต่จะทำให้สงสัย และเดือดร้อนใจ กับการกระทำที่ผ่านมา ที่กลัวจะเป็นบาป กลัวจะได้รับผลของกรรม ซึ่งความเดือดร้อนใจ และความสงสัยเหล่านี้ ก็มาจากเหตุ คือ อวิชชา ความไม่รู้ ที่ไม่รู้ว่า ความจริงที่ผ่านมาก็เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ ใช่เรา ที่ทำบาป หรือ ไม่ทำบาป เมื่อไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมย่อมเดือดร้อนในสิ่งที่ทำด้วยความยึด ถือว่าเป็นเรา สมดังพระพุทธพจน์ที่ว่า

บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรม ปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด


การคิดถึงอดีตด้วยความเป็นเรา ย่อมไม่รู้ความจริง และคิดถึงอนาคต ในสิ่งที่ยังไม่เกิดก็ทำให้ไม่รู้ความจริงเช่นกัน เพราะเหตุที่ว่า ทั้งอดีต และ อนาคต ไม่ปรากฎลักษณะของสภาพธรรมให้รู้ แต่ควรพิจารณาสภาพธรรมปัจจุบัน อันจะทำให้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีลักษณะให้รู้กำลังปรากฎ เพราะกำลังเกิดขึ้นเป็นไป อันเป็นไปเพื่อความรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไถ่ถอน อวิชชา และ ความเห็นผิด ย่อมไม่เดือดร้อนกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว และอนาคตที่ยังไม่มาถึง

ปัจจุบันขณะ จึงควรอบรมปัญญา สะสมคุณความดีในจิตใจ ส่วนอดีตที่ผ่านมาแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ปัจจุบัน แก้ไขใจตนเอง คือ ละกิเลสที่มีในจิตใจ อันเป็นต้นเหตุให้ทำบาป ด้วยความมมั่นคงในการศึกษาพระธรรมต่อไป ครับ

ขอนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
นิรมิต
วันที่ 11 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณครับ

คือ ผมค่อยข้างกังวลมากว่าจะพลั้งทำกรรมใดที่จะเป็นการห้ามมรรคผลนิพพาน หรือห้ามสวรรค์ ในกรณีที่ยกมาถามนี้ ก็กลัวจะมีโอกาสเป็นอริยุปวาท เพราะถ้าเป็น ก็จะได้น้อมจิตไปขอขมาท่าน ทั้งนี้อยากจะขอรบกวนสอบถามหน่อยครับว่า มีกรรมอะไรบ้าง ที่ถ้าทำแล้วเป็นการห้ามมรรคผลนิพพาน หรือห้ามสวรรค์ นอกเหนือจากอันตรายิกธรรม บ้างหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 11 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 11 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะยังมากไปด้วยความไม่รู้ ก็เป็นให้ความประพฤติเป็นไปที่ไม่ดี ทั้งทางกายและทางวาจา เกิดขึ้นเป็นไป แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย วาจาหรือคำพูดใดๆ ก็ตาม ที่ไม่เป็นไปกับด้วยความสุจริต (เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ) ก็ย่อมเป็นวาจาที่ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น เพราะขณะนั้นจิตใจเป็นอกุศล ก็ทำให้วาจาที่ไม่ดี คล้อยตามจิตที่เป็นอกุศล

ไม่เคยมีใครไม่เคยทำผิด ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยพูดไม่ดี มีด้วยกันทั้งนั้น เป็นไปตามกำลังของกิเลส แต่ก็สามรถขัดเกลาได้ด้วยความเข้าใจพระธรรม ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องขัดเกลาความไม่ดีไปทีละเล็กทีละน้อย จากที่เคยพูดไม่ดี ก็เริ่มเห็นโทษ และพูดในสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น ในขณะนั้น ก็เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และ แก่บุคคลอื่นด้วย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 11 ม.ค. 2556

เรียน ความเห็นที่ 2 ครับ

สำหรับที่ห้ามมรรคผลนิพพาน หลักๆ คือ อนันตริยกรรม แต่ก็อาจจะห้ามเฉพาะชาติเดียวเท่านั้นก็ได้ ส่วนกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่อนันตริยกรรม แม้อกุศลกรรมเล็กน้อย ก็ให้ผลตกนรกได้ครับ เพียงแต่ประเด็นทีถามในการว่าร้ายพระอริยเจ้า ถ้ากล้วประเด็นนี้ ก็ขอขมาด้วยจิตที่ขออดโทษ ก็ไม่ห้ามสวรรค์และนิพพาน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
นิรมิต
วันที่ 11 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ขอเรียนถามอีกข้อครับ ถ้าไหว้พระก่อนนอน แล้วก็มีการขอขมาทุกคืน ก็เป็นสิ่งที่สมควรใช่ไหมครับ จะช่วยในส่วนนี้ด้วยหรือไม่ เพราะเราอาจจะพลาดไปว่าร้ายพระอริยะได้โดยไม่รู้ตัวเลย แถมไม่ทราบด้วยว่า ได้ไปว่าพระอริยะท่านใด ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ก็อาจจะไม่ทราบ ก็เลยมีจิตขอขมาท่านเหล่านั้น โดยรวมๆ ทุกๆ ครั้งที่ไหว้พระระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อย่างนี้จะช่วยคืนกลับกรรมนั้นได้เรื่อยๆ หรือไม่ครับ คือ กรรมนั้น ถ้าได้กระทำก็เป็นกรรมไปแล้ว เพียงแต่ก็ขออย่าได้เป็นมัคคาวรณ์หรือสัคคาวรณ์เท่านั้น

ทีนี้ ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ จะชื่อว่าเราไม่เคารพหรือไม่ เพราะเหมือนกับ ทำผิดแล้วก็มาขอขมาเรื่อยๆ อะไรทำนองนี้ แต่ตัวผมมีจิตที่จะขอขมาจริงๆ เพราะไม่ทราบว่าได้ไปล่วงเกินพระอริยะท่านใด ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรไว้บ้าง ก็เลยขอขมาทุกครั้ง แต่เหมารวมๆ ไม่ได้เจาะจง อย่างนี้จะชื่อว่าเป็นการขออดโทษในข้อนี้ได้หรือไม่ครับ

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 11 ม.ค. 2556

เรียน ตวามเห็นที่ 6 ครับ

สามารถขอขมาพระรัตนตรัยได้บ่อยๆ ครับ หากเป็นผู้เห็นโทษของกิเลสของตนเอง และ เป็นการเคารพในพระรัตนตรัย เพราะเกิดจิตยำเกรงในพระรัตนตรัยในขณะนั้น ที่สำคัญก็ตั้งใจสำรวมกาย วาจาที่ดีต่อไปด้วย ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kinder
วันที่ 13 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ศรีนวล
วันที่ 14 ม.ค. 2556

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 18 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 18 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ