พระโสดาบันจักกล่าวปฏิเสธธรรมที่ไม่ทราบว่าเป็นพุทธพจน์ไหม

 
นิรมิต
วันที่  16 ม.ค. 2556
หมายเลข  22341
อ่าน  1,280

กราบสวัสดีท่านวิทยากร และมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

กระผมมีความสงสัยดังนี้ว่า ในกาลที่ยังมีอุคฆฎิตัญญูบุคคล และวิปัจจิตัญญูบุคคลอยู่ ซึ่งท่านเหล่านั้นย่อมบรรลุธรรมได้ในการฟังธรรมเพียงย่อๆ หรือเพียงครั้งเดียว เพราะมีปัญญามาก เมื่อท่านเหล่านั้นบรรลุธรรมแล้ว แต่เป็นเพียงพระโสดาบัน หากว่าพระโสดาบันท่านนั้น ได้ยินภาษิต หรือคาถาธรรม อันเป็นพุทธพจน์ หรือพุทธวัจจนะจากบุคคลอื่น โดยที่พุทธวัจจนะนั้น ก็ถูกกล่าวเพียงย่นย่อ แต่ธรรมนั้นก็ย่อมแจ่มแจ้งสำหรับพระโสดาบันอยู่แล้วใช่ไหม เพราะท่านเองก็บรรลุธรรมด้วย ธรรมเพียงย่นย่อนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ หากว่ามีผู้อื่นมากล่าวอย่างนี้ว่า ภาษิตนี้ คาถานี้ ที่ท่านผู้นั้นกล่าวดังนี้ ไม่ใช่พุทธวัจจนะ ไม่ใช่คำตรัสของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโสดาบัน จะสงสัยได้ไหม ว่าภาษิต หรือคาถาที่ตนได้ยินจากผู้อื่นเมื่อครู่นี้ แม้เทียบเคียงแล้ว พิจารณาแล้ว ก็เป็นธรรมจริง เป็นของจริง แต่สามารถจะสงสัยได้ไหม ว่านั่นเป็นพุทธวัจจนะ จริงๆ หรือเปล่า คือ อรรถนั้นจริง แต่ผู้กล่าว คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่หรือ หรือจะเป็นผู้อื่นกล่าว แค่สงสัยในตัวบุคคลที่กล่าว แต่ไม่ได้สงสัยในพระธรรม เพราะภาษิตนั้น คาถานั้น ได้ยินจากผู้อื่น ไม่ใช่ได้ยินจากพระ โอษฐ์โดยตรง


แล้วไม่ทราบว่า หากเป็นในกรณีที่พระโสดาบันได้ยินอรรถที่อาจไม่แจ่มแจ้ง อาจได้ยินเพียงย่อๆ ในบทที่ตนไม่เข้าใจจากบุคคลอื่น แม้อรรถนั้นเป็นพุทธพจน์จริง แต่เหตุว่าได้ยินจากบุคคลอื่น และอรรถไม่แจ่มแจ้ง และได้ยินเพียงย่อๆ พระโสดาบัน ยังสงสัยได้ไหม ว่าคำภาษิตนี้ คาถานี้ เป็นคำกล่าวของพระพุทธองค์จริงหรือเปล่า และอาจเพื่อกล่าวปฏิเสธได้ไหมว่า "คำภาษิตที่ไม่แจ่มแจ้งนี้จะเป็นคำกล่าวของพระพุทธองค์ได้อย่างไร" หากยังไมไ่ด้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และพระองค์ ยังไม่ ทรงรับว่าจริง

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
นิรมิต
วันที่ 16 ม.ค. 2556

มีอีก 2 คำถามที่อยากจะขออนุญาตกราบเรียนถามครับ

หากว่าพระโสดาบันท่านนั้นบรรลุด้วยการอ่านพระสูตรอย่างเดียว เพราะเป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือวิปัจจิตัญญูบุคคล โดยที่ไม่ได้ศึกษาพระอธิธรรมมาก่อน แล้วก็ได้ยินได้ฟังว่าพระอภิธรรมนี้ ไม่ใช่พุทธวัจจนะ ก็จะเกิดความคิดปฏิเสธได้ไหม เพราะท่านยังไมไ่ด้ศึกษา หากว่าท่านศึกษา ท่านย่อมรู้อยู่แล้วด้วยปัญญา ว่าอะไรตรงอะไรไม่ตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะนั้นๆ แต่เพราะเหตุว่า ท่านบรรลุก่อนด้วยพระสูตรอย่างเดียว ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม และ ได้ยินว่า พระอภิธรรมไม่ใช่พุทธวัจจนะ และมีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าพระอภิธรรมไม่ใช่พุทธวัจจนะมาลวงท่าน ด้วยหลักฐานนั้นเหมือนจริง ท่านจะเกิดความคิดอย่างนี้ว่า "คงจริงอย่างนั้น พระอภิธรรมคงไม่ใช่พุทธวัจจนะ" ได้หรือไม่ หรือปฏิเสธพระอภิธรรมไปเลย


อนึ่งอีกคำถามคือ พระอริยบุคคลนั้น หากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว แต่ยังศึกษาสิกขาบทไม่ละเอียด จะมีโอกาสล่วงสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้างหรือไม่ เช่น ใส่รองเท้าแตะ หรืออะไรอย่างนี้ ซึ่งเพราะท่านบรรลุธรรมก่อนที่จะศึกษาสิกขาบทโดยละเอียด หากสิกขาบทใดบทหนึ่งท่านยังเรียนไม่ครบ ยังไม่ทราบ สามารถยังจะล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบางอย่างเหล่านั้นได้หรือไม่

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอริยเจ้าก็มีหลายระดับตามกำลังของปัญญา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นพระอริยเจ้าแล้ว มีพระโสดาบัน เป็นต้น ท่านก็ต้องตรัสรู้ความจริงคือ ตัวสภาพธรรมที่กำลังปรากฎว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ เป็นอนัตตา ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นพระอริยสาวกท่านใดก็ตามครับ ก็ต้องรู้เช่นนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระอริยเจ้ามีพระโสดาบัน เป็นต้น ได้ยิน พระพุทธพจน์ เพียงย่อ จากบุคคลอื่นแต่เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ และไม่เหลือวิสัย และเป็นเรื่องที่ท่านประจักษ์ เช่น พูดถึงเรื่องสภาพธรรม ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา พระอริยสาวกนั้น ย่อมรู้และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในคำกล่าวของผู้อื่นที่พูดถึงสภาพธรรม เพราะตนเองก็ได้รู้ตามสภาพธรรม ประจักษ์ตัวจริงเช่นกัน ย่อมไม่เกิดสงสัยในคำพุทธพจน์ที่กล่าวโดยย่อเรื่องสภาพธรรมที่ตนได้รู้แล้ว และย่อมไม่สงสัยเลยว่า ไม่ใช่พระพุทธพจน์ เพราะที่ตนเองตรัสรู้ ก็เพราะฟังพระพุทธพจน์อย่างนั้น และก็รู้ตามอย่างนั้น เมื่อได้ฟังเรื่องนั้นอีก ก็รู้แน่นอนว่า เป็นพระพุทธพจน์ ไม่ว่าจะเป็นใครกล่าว แม้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็ตามที เปรียบเหมือน กองฟางข้าวกองใหญ่ บางบุคคล ก็เอาตะกร้ามาใส่ฟาง บางบุคคลก็เอาภาชนะอื่นๆ ถามว่า เอาฟางมาจากไหน ทุกคนก็ต้องตอบว่า เอามาจากกองฟางข้าวใหญ่นั้น ไม่ว่าจะใส่ภาชนะอะไรมาก็ตาม ฉันใด ใครก็ตาม ที่กล่าวสัจจะความจริงในเรื่องของสภาพธรรม ก็ไม่ใช่คำกล่าวของตนเอง แต่ก็เป็นพระพุทธภาษิตทั้งนั้น เพราะ มาจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ครับ

แต่ถ้าเป็นคำกล่าวที่เอามาจากพระพุทธพจน์ แต่เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งพระอริยสาวก แต่ละท่านก็มีปัญญาต่างกัน ปัญญาของพระโสดาบันก็ไม่ถึงพระอรหันต์ และที่สำคัญพระโสดาบันและแม้แต่พระอรหันต์เอง มีท่านพระสารีบุตร เป็นต้น ผู้เลิศด้านปัญญา ก็ไม่สามารถรอบรู้พระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ทั้งหมด เพราะปัญญาไม่ถึงพระพุทธองค์ เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินพุทธภาษิตจากผู้อื่นกล่าวจากที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้ามา พระโสดาบันย่อมไม่ทราบได้ แต่การไม่ทราบของท่าน ท่านก็ไม่ปฏิเสธ แต่ท่านก็จะไม่คัดค้านและไม่ยินดี แต่พระอริยสาวกต้องการความจริง ก็จะไปเฝ้าทูลถามว่า เนื้อความนี้จริงอย่างไร เป็นพระดำรัสของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ดังเช่นที่ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นพระโสดาบัน เมื่อคราวที่ไปสำนักของพวกนอกศาสนา พวกนอกศาสนาก็กล่าวคำใดคำหนึ่งขึ้นมา ท่านไม่คัดค้านและไม่ยินดี แต่เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าจริงหรือไม่อย่างไรครับ

แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เหลือวิสัย คือ เรื่องสภาพธรรมที่พระโสดาบันได้ตรัสรู้แล้ว เช่น ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาของสภาพธรรม เมื่อมีผู้อื่นมากล่าวขัดแย้งตรงกันข้ามกับสัจจะความจริง เช่น กล่าวว่า เที่ยง เป็นสุข และเป็นอนัตตา ท่านย่อมรู้ว่า คำนั้นไม่จริง เมื่อคำนั้นไม่จริง คำนั้นก็ไม่ ใช่พระพุทธพจน์ด้วย และ ปฏิเสธด้วยว่า นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้ากล่าว แต่เป็นพวกที่มีความเห็นผิดกล่าว จึงกล่าวปฏิเสธได้ ครับ ดังเช่น พระอริยสาวกท่านหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับเขา หลังจากที่เสวยเสร็จ เขาได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน มารผู้มีบาป อยากจะรู้ว่าเขาได้บรรลุธรรมหรือไม่ หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จไป มารผู้มีบาปก็เนรมิต ปลอมเป็นพระพุทธเจ้ามาที่เรือนเขาอีก เขาแปลกใจ เพราะรู้ว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าไม่เป็นผู้ไปแล้วกลับมา เขาจึงถามมารว่า พระพุทธองค์มาด้วยกิจอันใด มารผู้ปลอมมากล่าวว่า เรากล่าวผิดไปอย่างหนึ่ง ที่เรากล่าวว่า สังขาร หรือ สภาพธรรมไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา แต่ความจริง สภาพธรรมนั้นเที่ยง เป็นสุข และเป็นอัตตา อุบาสก ผู้เป็นพระโสดาบันคิดว่า นี้เป็นเรื่องใหญ่ ธรรมดา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าย่อมไม่เป็นสอง คือ ต้องตรงตลอด ไม่เปลี่ยนแปลง และนี้ไม่ใช่ธรรม เพราะธรรมดา สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นี้คงเป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้า ที่เป็นมารผู้มีบาป จึงกล่าวกับมารว่า ท่านเป็นมาร จงไปจากที่นี่ จากตัวอย่างนี้ จึงแสดงให้เห็นว่า หากเป็นคำที่ขัดกับสัจจะความจริง ที่เป็นสภาพธรรมตามที่พระโสดาบันตรัสรู้ ท่านย่อมปฏิเสธทันที แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เหลือวิสัย ท่านย่อมไม่ปฏิเสธทันที ดังเช่น ท่านอนาถะ แต่ท่านไม่ยินดี และ ไม่คัดค้าน แต่สอบถามผู้มีปัญญา มีพระพุทธ เจ้า เป็นต้น เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของพระอริยเจ้าที่เข้าใจแค่ไหนประการหนึ่ง และ เรื่องที่ผู้อื่นกล่าวให้ฟังว่าลึกซึ้งแค่ไหนประการหนึ่งด้วย ครับ


หากว่าพระโสดาบันท่านนั้น บรรลุด้วยการอ่านพระสูตรอย่างเดียว เพราะเป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือวิปัจจิตัญญูบุคคล โดยที่ไม่ได้ศึกษาพระอธิธรรมมาก่อน แล้วก็ได้ยินได้ฟังว่าพระอภิธรรมนี้ ไม่ใช่พุทธวัจจนะ ก็จะเกิดความคิดปฏิเสธได้ไหม เพราะท่านยังไมไ่ด้ศึกษา หากว่าท่านศึกษา ท่านย่อมรู้อยู่แล้วด้วยปัญญา ว่าอะไรตรงอะไรไม่ตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะนั้นๆ แต่เพราะเหตุว่าท่านบรรลุก่อนด้วยพระสูตรอย่างเดียว ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม และได้ยินว่าพระอภิธรรมไม่ ใช่พุทธวัจจนะ และมีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่า พระอภิธรรมไม่ใช่พุทธวัจจนะมาลวงท่าน ด้วยหลักฐานนั้นเหมือนจริง ท่านจะเกิดความคิดอย่างนี้ว่า "คงจริงอย่างนั้นพระอภิธรรมคงไม่ใช่พุทธวัจจนะ" ได้หรือไม่ หรือปฏิเสธพระอภิธรรมไปเลย


พระธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง นุ่มลึก เพราะสภาวธรรม แม้แต่เรื่องการตรัสรู้ ซึ่งการตรัสรู้ สามารถตรัสรู้ได้ โดยการฟังเทศนา ที่เป็นสมมติ คือ ฟังพระสูตร และ โดยเทศนาที่เป็นปรมัตถเทศนา คือ ฟังเรื่องสภาพธรรมที่เป็นพระอภิธรรม แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การตรัสรู้ จะต้องตรัสรู้อะไร ในขณะที่ตรัสรู้ ก็ต้องตรัสรู้ความจริง คือ สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฎ แม้แต่ขณะที่ฟังเรื่องราวพระสูตร ขณะที่คิดตาม อะไรมีจริง คิดมีจริง ขณะนั้นก็มีสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตรัสรู้ เมื่อได้ฟังพระสูตรขณะนั้น เพราะประจักษ์ตัวจริงของสภาพธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดังนั้น ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรบรรลุ ขณะที่ตรัสรู้ ก็ต้องรู้ความจริงที่เป็นปรมัตถ ตัวธรรมที่เป็นพระอภิธรรมเสมอ เพราะหากยังคิดเป็นเ่รื่องราว ก็ไม่สามารถไถ่ถอนความเห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคลได้ ก็สำคัญคิดตามเรื่องพระสูตรว่า เป็นพระราชา เป็นคนนั้นคนนี้ แต่ขณะที่ฟังพระสูตร ปัญญาเกิดน้อมไปในขณะที่ฟัง และ ประจักษ์ตัวธรรมที่กำลังปรากฎว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ

ดังนั้น พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านก็ประจักษ์พระอภิธรรม ที่ไม่ใช่แบบศึกษาเป็นปริเฉท มีจิตกี่ดวง แต่ท่านประจักษ์ตัวจริงที่เป็นพระอภิธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริงด้วยปัญญาระดับสูง ก็ชื่อว่า เป็นผู้ศึกษาพระอภิธรรมด้วยปัญญาที่ประจักษ์ตัวอภิธรรม ครับ

ดังนั้น ท่านย่อมไม่ปฏิเสธพระอภิธรรม เพราะท่านรู้ว่า คือ สิ่งที่ท่านตรัสรู้ อภิธรรม ก็คือ ความจริงในขณะนี้ แม้ใครจะกล่าวอ้างหลักฐาน ก็ไม่เท่ากับความจริงที่ท่านประจักษ์ตัวจริงที่เป็นพระอภิธรรม ครับ

ดังนั้น ไม่ว่าพระอภิธรรมที่แสดงที่ไหน บนโลกมนุษย์ บนสวรรค์ และ เวลายุคใด ก็ล้วนแล้วแต่ลึกซึ้ง ละเอียดยิ่ง ตามที่กล่าวมา ครับ


อนึ่ง อีกคำถามคือ พระอริยบุคคลนั้น หากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว แต่ยังศึกษาสิกขาบทไม่ละเอียด จะมีโอกาสล่วงสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้างหรือไม่ เช่น ใส่รองเท้าแตะ หรืออะไรอย่างนี้ ซึ่งเพราะท่านบรรลุธรรมก่อนที่จะศึกษาสิกขาบทโดยละเอียด หากสิกขาบทใดบทหนึ่งท่านยังเรียนไม่ครบ ยังไม่ทราบ สามารถยังจะล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบางอย่างเหล่านั้นได้หรือไม่


พระอริยสาวก แม้ผู้เป็นพระอรหันต์ ก็ยังล่วงสิกขาบทได้ แต่ไม่ใช่ด้วยเจตนาทั้งที่รู้ก็ล่วง เพราะฉะนั้น เป็นธรรมดาที่ยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยอยู่ แต่พระอริยสาวกทั้งหลาย เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้ผิดย่อมไม่มีเจตนา จงใจ ตั้งใจให้ก้าวล่วงเลย แม้เหตุแห่งชีวิตก็ย่อมสละได้ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับกิเลสได้เพียงบางประเภท กล่าวคือ ดับความเห็นผิดได้ทุกชนิด ดับความตระหนี่ ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปสู่อบายได้ทั้งหมด และดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรมได้อย่างหมดสิ้น พระโสดาบันหมดสิ้นความสงสัยในสภาพธรรมเพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริของสภาพธรรม ท่านเป็นผู้มีศรัทธาที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่หวั่นไหว สามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่า สิ่งใดที่เป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสิ่งใดไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครกล่าว ก็เป็นความจริง

มีพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันท่านหนึ่ง คือ ปุรพันธอุบาสก ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว มีมารมากล่าวกับท่านว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะสังขารที่เที่ยงนั้นมีอยู่ นี้คือ คำกล่าวของมาร ท่านก็ไม่หวั่นไหว เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้วว่า สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขารที่เที่ยง ย่อมไม่มี และการที่จะกล่าวความจริงได้อย่างถูกต้อง ก็ต้องเป็นผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจนกระทั่งเข้าใจ ซึ่งเมื่อมีความเข้า ใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็กล่าวคล้อยตามพระพุทธพจน์

ดังนั้น ไม่ว่าจะได้ฟังข้อความจากใคร จากส่วนใด ที่กล่าวถึงสภาพธรรม พระโสดาบันก็ย่อมเข้า ใจอย่างถูกต้อง สามารถแยกแยะได้ว่า อย่างไหนเป็นพระพุทธพจน์ อย่างไหนไม่ใช่พระพุทธพจน์ และพระโสดาบัน ก็ยังมีกิจที่จะต้องกระทำ คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป จนกว่าจะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยะเบื้องสูงขึ้นไป จนถึงความเป็นพระอรหันต์

พระอริยบุคคลเมื่อต้องอาบัติแล้ว ได้รู้ว่าเป็นอาบัติ ก็จะกระทำคืนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย มีการแสดงอาบัติ เป็นต้น ทันที ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 17 ม.ค. 2556

ชัดเจนมากค่ะ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 17 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"แจ่มชัดเลยครับ"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
นิรมิต
วันที่ 17 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ