การปราบกิเลส มาร ตัณหาของพระพุทธเจ้า

 
homenumber5
วันที่  19 ม.ค. 2556
หมายเลข  22355
อ่าน  4,047

เรื่องของมหาพุทธชยันตี คือ การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชนะกิเลสมารทั้งหลาย เคยฟังจากรายการธรรม เล่าว่า การออกจากกิเลส มาร ตัณหาทั้งหลาย คือ การประหานจิต เจตสิก รูป เพื่อให้ถึงนิพพาน และการประหานจิตอกุศล ๑๒ และอกุศลเจตสิก ๑๔ เป็นลำดับต้นๆ (ถูกต้องหรือไม่คะ)

ดิฉันใคร่ขอเรียนถามว่า จิตอกุศล ๑๒ มี โลภมูลจิต ๘ ประกอบด้วย ทิฏฐิคตสัมปยุตจิต ๔ และทิฏฐิคตวิปปยุตจิต ๔ โทสมูลจิต ๒ โมหมูลจิต ๒ คือ ประกอบด้วยวิจิกิจฉาจิต และ อุทธัจจะ อกุศลเจตสิกมีถึง ๑๔

ลำดับขั้นของการประหานอกุศลเจตสิก และอกุศลจิตนั้น มีลำดับขั้นอย่างไรและต้องใช้องค์ธรรมใดมาประหานคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 19 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การที่จะดับกิเลสได้ ต้องมีการอบรมเจริญปัญญาจนกว่าปัญญาจะถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อม มรรคจิตเกิดขึ้นทำกิจประหารกิเลส ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ อรหัตตมรรคจิต ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น สิ่่งจะต้องดับ คือ จิต และเจตสิกที่ไม่ดีที่เกิดร่วมด้วยเพราะได้รู้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง พระอริยบุคคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เป็นผู้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ไม่มีอกุศลจิตเกิดอีกเลย แต่ก็มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้น เป็นไป มีขันธ์ ๕ เกิดขึ้น เป็นไป แต่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลสใดๆ เลย เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

สำหรับกล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้านั้น กล่าวครอบคลุมว่าพระองค์ทรงชนะมารทุกอย่างไดอย่างเด็ดขาด พระองค์ทรงดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น เมื่อวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ณ โพธิบัลลังก์ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ กิเลสที่พระองค์เคยมีตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน ได้ถูกดับจนหมดสิ้น พระองค์ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศพระธรรมคำสอน เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดอีกเลย

สิ่งที่ถูกดับคือ กิเลส กิเลสเป็นนามธรรม เป็นเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต ขณะที่กิเลสเกิดขึ้น ก็เกิดร่วมกับอกุศลจิตเท่านั้น ตามควรแก่อกุศลจิตประเภทนั้นๆ ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงการดับกิเลสก็ต้องกล่าวหมายรวมถึงกิเลสที่อยู่ในฐานะเดียวกันและอกุศลจิตที่กิเลสนั้นๆ เกิดร่วมด้วย กิเลสที่เคยสะสมมาจะถูกดับไม่เกิดอีกเลยด้วยมรรคจิต

มรรคจิต หมายถึง จิตที่ประกอบพร้อมด้วยองค์มรรค ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ทำกิจประหารกิเลส (คือการดับกิเลส) ตามสมควรแก่มรรค กล่าวคือ โสดาปัตติมรรคจิต ดับความเห็นผิดทุกประเภท ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยา สกทาคามิมรรคจิต ไม่ได้ดับกิเลสอะไรเพิ่มเติม แต่เป็นการทำให้กิเลสที่เหลือจากการละของโสดาปัตติมรรคเบาบางลง อนาคามิมรรคจิต ดับความติดข้องยินดีพอในในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย พร้อม ทั้งดับความโกรธได้อย่างเด็ดขาด อรหัตตมรรคจิต ดับกิเลสที่เหลืออยู่ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโลภะที่ติดข้อง ยินดีพอในในภพ มานะ (ความสำคัญตน) และอวิชชา รวมทั้งกิเลสที่อยู่ในฐานะเดียว กันทั้งหมด เช่น อหิริกะ อโนตตัปปะ เป็นต้น

นี้คือการกล่าวถึงการดับกิเลส ถ้าจะกล่าวโดยการดับอกุศลจิตก็ได้ โดยประมวลแล้ว คือ พระโสดาบันดับโลภมูลจิตที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิได้ ๔ ดวง ดับโมหมูลจิตที่ประกอบด้วยความลังเลสงสัย พระอนาคามีดับโทสมูลจิต ๒ ดวง ส่วนอกุศลจิตที่เหลือ พระอรหันต์ดับได้จนหมดสิ้น

ตราบใดที่มรรคจิตยังไม่เกิดขึ้นทำกิจประหารกิเลส ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้กิเลสประเภทนั้นๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ การดับกิเลสเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ไม่สามารถดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย หนทางที่จะนำไปสู่การดับกิเลสจึงไม่พ้นไปจากการอบรมเจริญปัญญา และ การฟังพระธรรมด้วยดี เป็นขั้นต้นแห่งการอบรมเจริญปัญญา ที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาไปตามลำดับ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับการละกิเลส ละด้วยปัญญา ซึ่งจะต้องเริ่มจากปัญญาขั้นต้น คือ ปัญญาขั้นการฟังเป็นเบื้องต้นเป็นสำคัญ ซึ่งจากที่กล่าวว่า จะต้องเริ่มจากการละจิต เจตสิก รูปก่อนนั้น ในความเป็นจริง ไม่ใช่การจะละจิต เจตสิก รูป แต่เป็นการเข้าใจจิต เจตสิก รูปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะการละ จิต เจตสิก รูป ได้จริงๆ คือ การไม่เกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูป นั่นคือ ปรินิพพานของพระอรหันต์ แต่กว่าจะถึงจุดนั้น จะต้องเข้าใจการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูปตามความเป็นจริง ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งอาศัยปัญญาขั้นการฟังไปทีละน้อย จนปัญญาเพิ่มมากขึ้น สติปัฏฐานก็เกิด รู้ลักษณะของจิต เจตสิก รูป ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา และจนถึงปัญญาแก่กล้า ถึงวิปัสสนาญาณ เป็นลำดับ ๑๖ ขึ้น จนถึงมรรคจิต ผลจิต ทำกิจหน้าที่ดับกิเลสแต่ละประเภท ก็ดับตามระดับของปัญญา ซึ่งจะต้องดับความเห็นผิดก่อนเสมอ แต่ยังไม่สามารถละโลภะ และ อวิชชาได้หมดสิ้น จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งถ้าได้เข้าใจกิเลสที่ดับก่อน คือความเห็นผิด ก็จะทำให้ปฏิบัติในข้อปฏิบัติที่ถูกว่าไม่ใช่การไม่ให้ติดข้อง ไม่ให้เกิดกิเลส แต่กิเลสเกิดแล้วแน่นอน แต่ต้องอบรมขั้นต้นว่า กิเลสและ สภาพธรรมอย่างอื่นเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เพื่อไถ่ถอนความเห็นผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล จนละความเห็นผิดได้ อาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรม ปัญญาจะทำหน้าที่ปรุงแต่ง และละกิเลสได้เป็นลำดับเอง ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 20 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ