เป็นทุกข์เพราะยึดมั่นในตัวตน
ด้วยความที่เป็นผู้เริ่มในการปฎิบัติ อาจจะใช้คำว่าเริ่มมานานแล้วแต่การปฎิบัติ ก็ไม่ได้ก้าวหน้า แม้กระทั่งตอนนี้จะดูมุ่งมั่นกว่าทุกครั้งแต่ก็มีเหตุการณ์หลายเหตุ- การณ์ ที่ยังทำให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่ยังเห็นความเป็นตัวตนของตัวเองก็จะทุกข์ได้ ทุกครั้งแต่ก็ไม่อาจจะหยุดได้ เมื่อเจอคนไม่มีมารยาท หรือไม่ให้เกียรติ ก็จะรู้สึกได้ ว่าหัวใจเริ่มเต้นแรง หน้าร้อนๆ แม้ตอนนี้จะรู้สึกตัวได้เร็วกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังไม่ สามารถจะหยุดได้เร็วจนบางครั้งรู้สึกท้อใจ กับการปฎิบัติของตัวเองมาก อย่างนี้ เรียกเป็นทุกข์ แล้วถ้าจะไม่ให้รู้สึกยึดมั่นในตัวตนได้ต้องปฎิบัติอย่างไรถึงจะเข้าถึง ได้เร็วกว่าค่ะ เพราะปัจจุบันการเริ่มต้นปฎิบัติคือการบริกรรม ให้อยู่กับปัจจุบันให้มาก ที่สุด แม้ในทุกอริยบทแต่ก็ยังไม่ทันความรู้สึกว่าตัวเองใหญ่ได้ในเวลาที่มีปัจจัย ภายนอกมากระทบ แบบนี้ควรมีวิธีแก้ไขอย่างไรค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หนทางการละกิเลส คือ หนทางละ ไม่ใช่หนทางติด ไม่ใช่หนทางที่จะได้ เพราะ ฉะนั้น ควรเข้าใจความจริงว่า เมื่อเริ่มศึกษาธรรม กิเลสไม่ใช่จะหายไปหมดทันที เพราะ เพียงเริ่มอบรมปัญญา ปัญญายังมีน้อย กิเลสก็ยังมีมากอยู่ จึงเป็นธรรมดาที่ ยังจะเกิดกิเลสประการต่างๆ เกิดชอบสิ่งต่างๆ เกิดโกรธ บุคคลอื่น การปฏิบัติธรรม ที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่การห้ามไม่ให้กิเลสเกิด แต่ เป็นการรู้จักกิเลสตามความเป็นจริง ว่า กิเลสคืออะไร เพราะ กิเลสที่จะต้องละอันดับแรก ไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่ความ โลภ แต่เป็นความเห็นผิดที่ยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์บุคคล ดังนั้น จึงกล่าวได้ ดังหัวข้อ คำถามที่ว่า เพราะ ยึดมั่นว่ามีเรา มีสัตว์บุคคล มีตนจึงเป็นทุกข์ แต่หนทางการ ปฏิบัติธรรม คือ เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลส อกุศลเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตราบใด ที่ยังเป็นปุถุชน ก็เกิดกิเลสประการต่างๆ ได้ หนทางที่ถูก คือ รู้ว่า กิเลส และ สภาพ ธรรมที่กำลังปรากฎในชีวืตประจำวันว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา แต่ การจะรู้ถึงตรงนั้นได้ จะต้องอาศัยการฟังพระธรรมอย่างยาวนาน ถ้าเราอาศัย เครื่องเนิ่นช้า คือ โลภะ ที่อยากได้ผลของปฏิบัติเร็วๆ ก็ยิ่งจะทำให้ช้าออกไปอีก เพราะ ไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นโลภะ ครับ
ปัญญาเป็นพืชที่เติบโตช้า ซึ่งปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม อย่างยาวนาน ครับ เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก คือ การฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ เข้าใจ ในสิ่งที่เกิดแล้ว และ เข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ว่ากิเลสเกิดขึ้นได้ เป็นธรรมดา ซึ่งเมื่อมีกิเลส ก็ต้องฟังพระธรรมต่อไป ในเมื่อปัญญายังไม่มีมาก จะไปละกิเลสคงไม่ใช่ฐานะ ควรจะอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ดีกว่า การอยากได้ผล ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ควรตั้งต้นที่การปฏิบัติหรือไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ เพราะ นั่นเป็นการเพิ่มพูนอกุศลให้มีมากขึ้น โดยเฉพาะโลภะกับความเห็นผิด และในขณะนั้น ความไม่รู้ก็เกิดด้วย สะสมเพิ่มมากขึ้น แต่ควรตั้งต้นด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระ ธรรมให้เข้าใจ
เป็นธรรมดาที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ตราบใดที่ยังไม่สามรถดับกิเลส อะไรๆ ได้เลย แต่ความเข้าใจพระธรรมจะช่วยให้ค่อยๆ ขัดเกลายิ่งขึ้นได้ จากที่เคย เป็นคนโกรธมากๆ เป็นคนไม่มีเหตุผล ไม่ชอบคนนั้นไม่ชอบคนนี้ สารพัดที่จะเป็น ทั้งหมดเป็นเรื่องของอกุศล ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ก็สามารถขัดเกลาได้ เมื่อมีความ เข้าใจถูกเห็นถูกขึ้น เห็นโทษของอกุศล เห็นคุณของกุศล จึงไม่มีใครสามารถทำลาย หรือขจัดอกุศลของตนเองได้เลยนอกจากตนเองจะเป็นผู้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจแล้วปัญญาจะทำให้มีการขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น เป็นไปได้ด้วยปัญญาจริงๆ ซึ่ง พระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ก่อนที่จะท่านจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ท่านก็มากไปด้วย อกุศล มากไปด้วยกิเลสนานาประการ แต่ก็สามารถดับได้ในที่สุด เมื่อปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้นนั่นเอง ดังนั้น จึงต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ความเข้าใจพระธรรม จะนำพาชีวิตไปสู่ทางที่ดี ที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การจะหมดความเป็นตัวตน ต้องบรรลุเป็นพระโสดาบันจึงจะความเห็นผิด ในสัตว์บุคคลตัวตน ก่อนจะมาถึงตรงนี้ได้ ก็ต้องเริ่มจากความไม่รู้ ไปสู่ความรู้ ด้วยการฟังพระธรรม พิจารณาธรรม และมีความเห็นถูกในเบื้องต้นว่า ทุกอย่าง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"การปฏิบัติธรรม คือ เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลส อกุศลเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ก็เกิดกิเลสประการต่างๆ ได้ หนทางที่ถูกคือ รู้ว่า กิเลส และ สภาพ ธรรมที่กำลังปรากฎในชีวืตประจำวันว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา"
"จึงต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ความเข้าใจพระธรรม จะนำพาชีวิตไปสู่ทางที่ดี ที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น ครับ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ