การแสดงธรรมบ่อยๆ เป็นโทษแด่ผู้ฟังธรรม ได้เหมือนกัน ?
ถ้าไม่จำเป็น ผมคิดว่าอย่าไปแสดงธรรม ถ้าจะแสดงให้ใครฟัง ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า คนฟังตั้งใจมาเอาธรรมจริงๆ เพราะคนฟังสมัยนี้เขาพกยาพิษมาฟังธรรมด้วย เช่น ผู้จัดเชิญไปบรรยายธรรม แด่นักเรียน นักศึกษา อื่นๆ บางทีคนฟังก็ไม่สนใจฟัง เล่นกันบ้าง แกล้งกันบ้าง ไปแสดงธรรมแล้วก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์ใดๆ แก่ผู้ฟังเลย แต่อาจเป็นโทษแก่พวกเค้า เช่น บางคนพูดสวนมา พูดอะไรฟังไม่เห็นรู้เรื่อง ไหนรู้วาระจิตคน ทำไมแสดงธรรมไม่ตรงกับจริตพวกผมละ
บางคนพูดส่อเสียด ล้อเลียน สมัยผมเป็นพระผมเทศน์ได้สนุกกว่านี้ คนฟังไม่หลับเหมือนท่านแสดงธรรมให้ฟังในตอนนี้ แล้วกองเชียร์ก็หัวเราะเฮฮา รับกันเป็นแถวๆ มันเหมือนเทน้ำไส่ตัวหมา หมาก็สะบัดทิ้งหมด ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว แถมผู้ฟังก่อเวรก่อกรรมแก่ตัวเขาขึ้นมาเองด้วย ดื่มยาพิษซดกันเป็นทอดๆ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การแสดงธรรม ประโยชน์ คือ ให้ผู้อื่นเข้าใจธรรม มิใช่เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญของตนเอง แต่ เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจ แม้เพียงเล็กน้อยของความเข้าใจที่เกิดขึ้น ก็เป็นอุปนิสัยที่ดีงาม ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจถูกขึ้นในอนาคต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งในประชุมชนที่ได้รับฟังพระธรรม คงไม่ใช่ทั้งหมดที่จะสนใจพระธรรม เพราะสะสมมาแตกต่างกัน ธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า จะมีสัก 1 คนที่จะสนใจ หากผู้ฟังสนใจ แม้เพียงคนเดียว มีความเข้าใจ การแสดงธรรมนั้นก็สำเร็จประโยชน์ครับ
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้แสดงธรรม ย่อมรู้จักกาละ เทศะ และ บุคคลที่แสดง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในประชุมชนนั้น จะสนใจจริงๆ ทั้งหมดบางคนก็สนใจบางคนก็ไม่สนใจ แต่พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรม เพราะยังมีบุคคลที่จะสามารถบรรลุธรรมในประชุมชนนั้น แม้เพียงคนเดียว ก็ถือว่า สำเร็จประโยชน์แล้ว ส่วนผู้ที่ไม่สนใจจริงๆ แต่ จะมีสักขณะไหม ที่ได้ฟังแล้ว ก็เข้าใจนิดหน่อย แม้เพียงไม่มาก ก็ถือว่ามีประโยชน์มหาศาล เพราะ ความเข้าใจเพียงเล็กน้อยของปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลส ก็สามารถที่จะเป็นอุปนิสัยที่ดีงาม ที่จะทำ ให้ ได้มีโอกาสฟังพระธรรมอีก เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก
หากเรามองย้อนไป สำเร็จผู้ที่ฟังแล้วสนใจมาก หรือจนบรรลุธรรม บุคคลเหล่านั้น ก็จะต้องเริ่มจากการสนใจพระธรรมเพียงเล็กน้อยมากๆ เท่านั้น ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การอบรมปัญญาในพระศาสนานี้ ไม่ใช่เหมือนกบก้าวกระโดด ที่จะสนใจพระธรรมมากๆ เลย แต่ก็เริ่มจากทีละเล็กละน้อย ทีละชาติ สะสมความเข้าใจ เข้าใจไปทีละน้อยมากๆ จนเมื่อมีความสนใจที่สะสมมา ทีละน้อย แต่เป็นล้านๆ ชาติ ก็มีความสนใจพระธรรมมาก เพียงได้ฟังพระธรรมก็สนใจ และ ศึกษาพระธรรมนั้นต่อ ก็เริ่มมาจากการสนใจพระธรรม สะสมความเข้าใจไปทีละน้อย ส่วนอกุศลที่เกิดขึ้นในขณะที่ฟังพระธรรม ก็มีธรรมดาสำหรับปุถุชน เพราะอกุศล คือ ยาพิษ ก็พกติดตัวกันมาทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่ว่าผู้สนใจ หรือ ไม่สนใจ เพราะกิเลสที่ยังไม่ได้ละ ก็เป็นยาพิษอย่างดี แต่การจะละยาพิษได้ ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จากการสะสมความเข้าใจไปทีละน้อย ครับ
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับประชุมชนคราวหนึ่ง ในคาถาธรรมบท เรื่อง อุบาสก ๕ คน ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในประชุมชนนั้น ท่านพระอานนท์เห็นอุบาสก ๕ คน มีอาการแตกต่างกันไป อุบาสกคนหนึ่งนั่งหลับ คนหนึ่งนั่งเขียนแผ่นดินด้วยนิ้วมือ คนหนึ่งนั่งเขย่าต้นไม้ คนหนึ่งนั่งแหงน (หน้า) มองดูอากาศ แต่คนหนึ่งได้ฟังธรรมโดยเคารพ.
ซึ่งพระอานนท์ก็กราบทูลเรื่องนั้นให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อุบาสกแต่ละคนสะสมมาในอดีตชาติแตกต่างกัน และพระอานนท์ยังกราบทูลว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ นำมาซึ่งความเลื่อมใส ทำไมอุบาสกเหล่านั้นไม่ตั้งใจฟังพระธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะในชาตินับชาติไม่ถ้วน เหล่าสัตว์ได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์น้อย แต่สะสมอกุศลในทางอื่นมากกว่า จึงไม่สนใจพระธรรม และพระพุทธเจ้าได้ตรัสคาถาธรรมอื่นๆ เมื่อจบพระเทศนาอุบาสกผู้ตั้งใจฟังโดยเคารพ ได้บรรลุธรรม ส่วนประชุมชนก็ได้รับประโยชน์ตามสมควร ครับ
จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ทุกคนจะสนใจตลอดเวลา ก็มีความไม่สนใจเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา เพราะอำนาจการสะสมมาที่แตกต่างกัน และ กิเลสเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แต่ก็มีผู้ที่ได้รับประโยชน์ คือ มีอุปนิสัยที่สะสมมาดีในประชุมชนนั้น พระองค์จึงทรงแสดงธรรม และ ทำให้ผู้นั้นบรรลุธรรม ก็เท่ากับว่าสำเร็จประโยชน์แล้ว ส่วนอกุศลของคนอื่นที่จะเกิดขึ้นในขณะที่ฟังธรรม ไม่มีใครจะบังคับได้เลย เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ครับ
อีกเรื่องหนึ่ง พราหมณ์สามีภรรยา ต้องการยกลูกสาวที่ชื่อนางมาคัณทิยาให้พระพุทธเจ้า เพราะ ต่างก็มีรูปงามทั้งคู่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสคาถาแสดงธรรมให้กับคนทั้งสามฟังว่า แม้แต่นางตัณหา นางราคา นางอรดี เรายังไม่ต้องการ จะกล่าวไปใย ถึงบุตรสาวท่าน ที่ร่างกายเต็มไปด้วยของสกปรก เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ พราหมณ์สามีภรรยาบรรลุเป็นพระอนาคามี ส่วนนางมาคัณทิยาได้ฟังพระธรรมด้วย เกิดความผูกโกรธ อาฆาตพระพุทธเจ้า คิดว่าเราจะหาทางทำร้ายพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งในอรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทรงยึดถือผู้ที่จะได้รับประ โยชน์เป็นสำคัญ คือ เกิดความเข้าใจถูก หรือ ได้บรรลุธรรม ดังนั้นนางมาคัณทิยาเกิดยาพิษ คือ เกิดกิเลส ก็เพราะไม่ใช่ใครทำให้ ก็กิเลสยาพิษในใจของตนเองนั่นแหละที่เป็นเหตุ แม้อย่างนี้พระพุทธ เจ้าก็ทรงแสดงธรรม แม้ผู้อื่นจะเกิดยาพิษ เพราะเราไม่สามารถห้ามกิเลสใครได้เลย ครับ
หากพิจารณาเพียงว่า มีคนอื่นไม่สนใจโดยมากแล้ว หรือ อาจทำให้เกิดยาพิษ เกิดอกุศล มีโทษกับผู้ที่ได้รับฟังเพียงส่วนเดียว ก็จะไม่มีการแสดงธรรม ไม่มีการเผยแพร่พระธรรม พระธรรมย่อมอันตร ธานไปจากใจ สมดังเมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์พิจารณาว่า ธรรมของพระองค์ลึกซึ้งยิ่งนัก ยากที่สัตว์โลกจะเข้าใจ และ เพราะสัตว์โลกมากไปด้วยกิเลส ยากที่จะเข้าใจพระธรรม พระองค์ จึงทรงน้อมพระทัยที่จะไม่แสดงธรรม พรหมจึงคิดว่า โลกจะพินาศแล้วหนอที่พระพุทธเจ้าจะไม่แสดงธรรมกับใครเลย จึงมาอาราธนาให้แสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาหมู่สัตว์ที่สะสมอุปนิสัยที่ดีมามีอยู่ จึงได้รับอาราธนา และได้แสดงธรรมในประชุมชนต่างๆ นับจากบัดนั้น ครับ
ประโยชน์ของการแสดงธรรม คือ ให้ผู้อื่นเข้าใจพระธรรม แม้เพียงเล็กน้อย ก็มีประโยชน์มาก เป็นขณะที่มีค่าที่สุด แม้ขณะต่อไป ส่วนใหญ่จะเป็นอกุศล หรือจะมีผู้อื่นไม่สนใจพระธรรมเลย แต่มีแม้เพียงคนเดียวก็สมควรแสดง ส่วนอกุศลคนอื่นห้ามไม่ได้เลย เพราะสัตว์โลกก็สะสมยาพิษมาในจิต ใจเป็นธรรมดา การแสดงธรรม ประโยชน์ก็เกิดทั้งผู้แสดงเองและผู้รับฟัง แม้ผู้แสดงก็เข้าใจพระธรรมมากขึ้น ผู้รับฟังได้เกิดความเข้าใจเล็กน้อย แม้เพียงบางคนก็เป็นประโยชน์ อันจะทำให้สะสมอุปนิสัยที่ดีในอนาคต ครับ
การแสดงพระธรรมที่ถูกต้อง มีประโยชน์ส่วนเดียว และ ไม่ได้มีโทษกับผู้ฟัง แต่โทษเกิดจากกิเลสที่สะสมมาแต่ละคนเป็นสำคัญ เพราะแม้ไม่ได้ฟังพระธรรมก็กระทำโทษ คือ เกิดกิเลส โปรยยาพิษในใจเป็นประจำอยู่แล้ว ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าหากไม่มีการแสดงธรรม การกล่าวธรรมแล้ว การฟังในสิ่งที่มีจริงก็เกิดขึ้นไม่ได้ และกุศลธรรมที่จะเจริญขึ้นคล้อยตามปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นสืบเนื่องมาจากการฟังพระธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นการแสดงธรรมจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ตามกำลังปัญญาของแต่ละคนอย่างแท้จริง เพราะการแสดงธรรมเป็นการแสดงซึ่งสิ่งที่มีจริง เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่กล่าวเรื่องอื่นที่ไม่มีประโยชน์
ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อยู่ร่ำไป และผู้ที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้ ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีการอุบัติขึ้นของพระองค์ จึงมีผู้ที่ได้รับประ โยชน์จากการอุบัติขึ้นของพระองค์เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเทวดา มนุษย์ และพรหมบุคคล จากการที่พระองค์ทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็มีเป็นลำดับขั้น สูงสุด คือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น รองลงมาตามลำดับ คือ เป็นพระอนาคามี เป็นพระสกทาคามี เป็นพระโสดาบัน ถ้ายังไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ก็สะสมปัญญาเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า โดยเป็นกัลยาณปุถุชน ที่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วก็น้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามเว้นในสิ่งที่เป็นบาปธรรมทั้งหลาย มีชีวิตที่เป็นไปคล้อยตามปัญญาที่เจริญขึ้นจากการมีโอกาสได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม นั่นเอง
พระโอรสของเจ้าลิจฉวีพระองค์หนึ่ง เป็นคนดุร้าย หยาบคาย ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย ใครๆ ก็ไม่สามารถจะอบรมพร่ำสอนได้ พระราชบิดาพระราชมารดาเห็นว่า เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครจะสามารถพร่ำสอนกุมารนี้ได้ จึงนำพระกุมารเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัม มาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเกื้อกูล แสดงถึงความโกรธและโทษของความโกรธ ให้เห็นตามความเป็นจริง โดยสรุปได้ว่า ไม่ควรจะเป็นคนดุร้าย หยาบคาย ร้ายกาจ ชอบข่มเหงรังแกในหมู่สัตว์ทั้งหลาย เพราะขึ้นชื่อว่า คนมีวาจาหยาบ ดุร้าย ย่อมไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ แม้ของมารดาบิดาบังเกิดเกล้า เป็นที่หวาดหวั่นของคนทั่วไป เหมือนงูที่เลื้อยออกมากัด เหมือนโจรที่ส้องสุมดักปล้นย่อมเป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป และ เพราะเป็นคนมักโกรธ ก็จะเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิได้ ในที่สุดพระกุมารพระองค์นี้จากที่เคยเป็นคนมักโกรธ ขาดเมตตา ดุร้าย ก็สามารถกลับตัวเป็นคนดีได้ เป็นคนมีเมตตา ไม่ดุร้าย ด้วยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นี้เป็นเพียง ๑ ตัวอย่างเท่านั้น (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก เอกปัณณชาดก [เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้า ๔๖๕)
สำหรับผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีมากมายนับไม่ถ้วน จริงๆ การแสดงธรรมซึ่งเป็นการแสดงในสิ่งที่มีจริง จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลโดยส่วนเดียว
ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการอุบัติขึ้นของพระองค์ จากการทรงแสดงธรรมของพระองค์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ก็จะต้องเป็นผู้มีศรัทธา สะสมการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมาแล้วในอดีต เป็นผู้เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงเท่านั้น ที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ไม่ใช่ว่าจะทุกคนจะได้ฟังและจะได้ประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง พระธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคน ยุคนี้สมัยนี้ เป็นช่วงเวลาที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ และ ผู้ที่เข้าใจธรรมแสดงธรรม เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจถูกเห็นถูก ก็ยังมีอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ตั้งแต่ในขณะนี้จริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การแสดงธรรมบ่อยๆ ไม่มีโทษ มีแต่คุณประโยชน์มหาศาล เพราะทำให้คนที่สะสมบุญมาแล้ว ได้ยิน ได้ฟังธรรม เกิดปัญญา และ สามารถละคลายกิเลส นำไปสู่การไม่เกิดอีก มีค่ามากกกว่าทรัพย์สมบัติใดใดในโลก ค่ะ