เคลือบแคลงพระอริยเจ้า ไปนรก
กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน
วันนี้มีข้อสงสัยอยากจะขอเรียนถามน่ะครับ คือเคยอ่านเรื่องนึงเมื่อนานมาแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องที่มีปรากฏในพระไตรปิฏกหรือรรถกถาหรือไม่ และแต่ละท่านที่ปรากฏในเนื้อเรื่องคือท่านใดบ้าง มีเรื่องราวโดยละเอียดอย่างไร จึงอยากขอเรียนถามเพื่อความกระจ่างครับ
ได้ยินว่าในสมัยพุทธกาล มีพระราชา (หรือเศรษฐีก็ไม่ทราบ) คนนึง ได้กระทำบุญกับพระภิกษุรูปหนึ่ง โดยที่พระรูปนั้นเป็นพระปลอม ปลอมมาบิณฑบาทเพราะต้องการอาหาร พระราชานั้นได้กระทำกุศล แล้วก็ยินดีในกุศล ได้ไปเกิดในสวรรค์ในภายหลัง และพระราชาคนนั้นมีคนรับใช้อยู่คนนึง ที่ตามพระภิกษุไปและทราบความจริงว่า ภิกษุรูปนั้นเป็นพระปลอม แต่ไม่ได้ไปเรียนให้พระราชาทราบ ต่อมาได้มีการทำกุศลขึ้นกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย โดยที่คนรับใช้คนนั้น ได้เกิดความเคลือบแคลง สงสัยขึ้นในขณะที่กำลังถวายภัตรแด่พระอริยเจ้าเหล่านั้น เพราะเหตุว่าเคยพบพระปลอม จึงมีความดำริว่า ท่านเหล่านี้จักเป็นพระปลอม ทั้งๆ ที่กำลังกระทำบุญกับพระอริยเจ้า ต่อมาทำกาละแล้วไปเกิดในนรก โดยท่านบอกว่าเป็นเพราะกรรมที่เคลือบแคลงสงสัยพระอริยเจ้า
จึงขอเรียนถามว่า เรื่องราวนี้มีปรากฏในพระไตรปิฏกหรืออรรถกถาส่วนไหน จริงหรือไม่ ถ้ามีจริง เรื่องจริงๆ โดยละเอียดเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดคนรับใช้คนนั้นจึงต้องไปเกิดในนรก
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากเรื่องราวที่ผู้ถามได้กล่าวมานั้น ไม่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ซึ่งในความเป็นจริง กรรมที่เพียงสงสัยในใจ ไม่ได้มีการล่วงออกมาทางกาย วาจา ไม่สามารถทำให้ไปอบายภูมิ มี นรก เป็นต้น ได้ เพียงแต่อกุศลจิตที่เกิดขึ้น สลับระหว่างกุศลจิต ในขณะที่ทำกุศลกรรม ย่อมจะเป็นปัจจัยให้กุศลกรรมมีผลอานิสงส์น้อยลง เพราะจิตไม่ได้บริสุทธิ์ตลอดสาย ครับ
อย่างเช่น เศรษฐีท่านหนึ่ง ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ภายหลังเกิดความเสียดายอาหารที่ให้ไป คิดว่าเราให้คนงานยังมีประโยชน์กว่า ทานที่เศรษฐีให้ไปนั้น กุศลกรรมสำเร็จแล้ว แต่เพราะเกิดจิตคิดเสียดายในทานว่าให้คนอื่นดีกว่า อกุศลจิตเกิดแล้ว แต่การคิดด้วยอกุศลจิตเช่นนั้น ไม่เป็นเหตุให้ไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ได้ แต่ทำให้ตัดทอนกำลังของกุศลกรรม เป็นเหตุให้ เมื่อตายจากความเป็นเศรษฐี เมื่อกุศลกรรมที่ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าให้ผล ก็เกิดเป็นผู้มีทรัพย์มาก แต่เพราะเกิดอกุศลจิตคิดเสียดาย คิดว่า ควรให้คนอื่นมากกว่า จึงทำให้จิตของเศรษฐีนั้น ไม่น้อมไปที่จะบริโภคทานของตนเอง บริโภคของที่ไม่ประณีต คือ เมื่อเกิดเป็นเศรษฐีแล้วก็ใช้ทรัพย์ที่ไม่ประณีต เสียดายทรัพย์ของตนเอง มีของดีก็ใช้ของที่ไม่ดี
อีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นพระราชากับคนใช้ คือ พระเจ้าปายาสิ ไม่ได้ให้ทานด้วยมือของตน และเป็นผู้ไม่เคารพในการให้ทาน แต่ก็ฝากคนใช้ไปให้พระภิกษุ ใส่บาตรกับพระภิกษุ คนใช้เคารพในการให้ทาน เมื่อทั้งคู่สิ้นชีวิต พระเจ้าปายาสิเกิดเพียงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาที่เป็นสวรรค์ชั้นแรก ส่วน คนใช้ที่ให้ทานด้วยมือของตน เคารพในทาน เกิดที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะจิตประณีตกว่าในขณะที่ทำกุศล ครับ
การเคลือบแคลงสงสัยในคุณธรรม หรือในความเป็นบรรพชิตหรือไม่ ไม่เป็นเหตุให้ไปอบายภูมิ นอกจากว่ามีการทำกรรมทางกาย วาจาที่ไม่ดี ล่วงออกมาจากการไม่เลื่อมใสเคลือบแคลงนั้น แต่ความเคลือบแคลงสงสัยในคุณธรรม ในความเป็นบรรพชิตหรือไม่นั้น เป็นตะปูตรึงใจของผู้ที่เกิดอกุ ศลจิตนั้น เพราะตรึงใจไม่ให้เกิดความเจริญขึ้นของกุศลธรรมได้ เช่น เมื่อเกิดความสงสัยในพระภิกษุว่าจริงหรือปลอม ก็อาจเป็นเหตุให้ไม่ทำกุศลในครั้งนั้น เพราะไม่แน่ใจ สงสัยกลัวเป็นพระปลอม เป็นต้น และหากมีความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย อันเป็นเหตุไม่เชื่อไม่ศรัทธาแล้ว ก็ย่อมตรึงใจให้ผู้นั้นไม่เจริญขึ้นในปัญญา ตรึงให้ไม่ให้เข้าใจพระธรรม ไม่ยอมอบรมปัญญา ก็เป็นเหตุให้เสื่อมจากคุณความดีประการต่างๆ โดยเฉพาะ สัมมาทิฏฐิ ปัญญา ความเห็นถูกได้ ครับ
การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้น ย่อมเป็นปัจจัยให้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกๆ ประการ และแม้แต่การถวายอาหารกับพระภิกษุ ผู้มีปัญญาย่อมเจริญกุศลประการนี้ด้วย และกุศลประการอื่นๆ และ น้อมพิจารณาที่จะถวายน้อมแด่สงฆ์ ไม่ใช่เฉพาะเจาะจง บุคคลหนึ่ง บุคคลใด ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์จริงๆ คืออะไร? เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนควรพิจารณาว่า ไม่ควรจะเป็นผู้วางใจว่าจะไม่มีวันจะไปสู่อบายภูมิ เพราะเหตุว่า ผู้ที่จะพ้นจากอบายภูมิได้นั้น คือผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังมีโอกาสที่จะไปสู่อบายภูมิ มีนรก เป็นต้นได้ ถ้าไปเกิดในอบายภูมิแล้ว ย่อมมีแต่ความทุกข์ทรมาน ไม่มีโอกาสที่จะเจริญกุศลประการต่างๆ ไม่มีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญาด้วย
ในขณะนี้ทุกคนเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์ภูมิ มีชีวิตที่ดำเนินไปแตกต่างกันตามฐานะของตนๆ มีความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามที่แต่ละบุคคลได้ประสบอยู่ แต่ถ้าเป็นอบายภูมิแล้ว จะไม่เป็นอย่างนี้เลย จะไม่มีความสุขเหมือนอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จึงไม่ควรที่่จะประมาท การกระทำทางกาย ทางวาจาและทางใจ ก็ควรที่จะเป็นไปในทางที่ดีงามเท่านั้น ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะเหตุว่า ความเข้าใจถูกเห็นถูกนี้เอง จะเกื้อกูลให้ความประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจในชีวิตประจำวัน ดำเนินไปในทางที่ดีงามยิ่งขึ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...