พระโสดาบัน กับธรรมที่คลาดเคลื่อน

 
นิรมิต
วันที่  29 ม.ค. 2556
หมายเลข  22411
อ่าน  1,470

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

มีความสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระโสดาบันครับ คือในยุคสมัยนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงพระปรินิพพานแล้ว บัดนี้ธรรมที่ทรงแสดงก็เหลืออยู่ในพระไตรปิฏกเท่านั้น ไม่อาจจะไถ่ถามความสงสัยในข้อธรรมต่างๆ ต่อหน้าพระพักตร์ เพื่อฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ได้อีกแล้ว ในอนาคต หรือแม้ในสมัยนี้ ซึ่งก็จะเป็นกาลวิบัติลงไปเรื่อยๆ หากพระไตรปิฏกบางส่วนเกิดความคลาดเคลื่อน แล้ว ส่วนนั้นดูเผินๆ ก็เสมือนคล้อยตามพระธรรมนัยอื่นๆ ได้ หรืออาจจะคลุมเครือก็ได้ และธรรมส่วนนั้นเป็นวิสัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น หรือเป็นวิสัยของพระอริยบุคคล ซึ่งมีปัญญามาก และ ข้อธรรมที่คลาดเคลื่อนนั้น ปรากฏเป็นพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฏก ผู้ซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันในยุคนั้น ไม่อาจจะเข้าใจธรรมในข้อนั้นอย่างถ่องแท้ได้ เพราะไม่ใช่ธรรมที่เป็นวิสัยของพระโสดาบัน และพระโสดาบันในยุคนั้น ก็ไม่อาจจะสอบถามข้อธรรมที่คลาดเคลื่อนนั้นกับพระผู้มีพระภาคได้อีกแล้ว

ท่านจะเชื่อตามที่พระไตรปิฏกแสดงไว้ในส่วนธรรมที่คลาดเคลื่อนนั้น หรือจะปฏิเสธ หรือจะไม่ยินดีไม่ยินร้ายไม่มีความเห็น หรือจะมีความเห็นคล้อยตามก็ได้ไม่คล้อยตามก็ได้ ตามปัญญาและปฏิสัมภิทา อย่างไร เพราะเหตุใดครับ?

ขอบพระคุณครับผม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง ขณะที่ได้อ่านพระไตรปิฎก ก็เหมือนกับการได้ฟังจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า เพราะในขณะที่ได้ฟัง ก็มีการคึดนึกต่อในใจ เป็นเรื่องราว เป็นความหมาย ส่วนแม้การอ่านพระไตรปิฎก ขณะที่อ่าน เห็นแล้วก็คิดนึกถึงคำ ความหมายของคำ และ คิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้น ก็ต่างกันตรงที่ว่า ก็อาศัยการนึกคิดในเสียง หรือ ในสี ที่บัญญัติว่าเป็นตัวอักษร และก็คิดนึกในความหมายเช่นกัน

ดังนั้น ผู้มีปัญญา แม้ไม่ถึงระดับพระอริยบุคคล ผู้เป็นพระโสดาบัน ในสมัยนี้ เมื่อได้อ่านพรไตรปิฎก เหมือนไดัฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า และ ก็ย่อมพิจารณาไตร่ตรองตามกำลังของปัญญา ซึ่ง หากเป็นผู้ละเอียด คือ เมื่อบางข้อความที่ไม่เข้าใจ เหลือวิสัย ผู้ที่มีปัญญา ย่อมไม่คัดค้าน และ ไม่ยินดีในคำนั้น แต่จะสอบถามผู้รู้ และ เทียบเคียงกับพระธรรมสูตรอื่นๆ

โดยนัยเดียวกัน พระอริยบุคคลผู้เป็นพระโสดาบัน ย่อมมีคุณธรรมข้อหนึ่ง คือ เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว คือ ปฏิบัติข้อปฏิบัติที่ตรงจนถึงพระนิพพาน ที่สำคัญพระอริยบุคคลทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ตรง ไม่เอนเอียง เพราะละอคติได้หมดสิ้นและตรงต่อสภาพธรรม เพราะได้ประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง ดังนั้น พระอริยบุคคล ก็มีปัญญาแตกต่างกัน และไม่สามารถรู้พระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกได้หมดสิ้น เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าก็มี ดังนั้น เมื่อพระอริยบุคคลได้อ่านพระไตรปิฎก ท่านก็ย่อมเป็นผู้ตรง ที่บางข้อความไม่รู้ ท่านก็ไม่รู้ จะกล่าวว่ารู้ไม่ได้ จึงไม่ยินดี และ ไม่คัดค้านคำเหล่านั้น หากมีเพื่อนพรหมจรรย์ที่มีปัญญา พระอริยบุคคลผู้แสวงหาความจริง ย่อมเข้าไปไต่ถาม สอบ ถาม ถึงถ้อยคำ พยัญชนะเหล่านั้น เพื่อได้อรรถะที่ถูกต้อง หากไม่มี ก็เป็นผู้ตรงที่ไม่รู้ เพราะรู้ถึงวิสัย ปัญญาของตนที่จะรู้ตามกำลังปัญญาของตน โดยไม่เดือดร้อน หรือ พยายามรู้ในสิ่งเหลือวิสัย ท่านเหล่านั้น จึงเป็นผู้ตรง ที่รู้ ก็คือ รู้ ไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้ และก็อบรมปัญญา อ่านในส่วนที่สามารถเข้าใจได้ และ เป็นประโยชน์กับตนเองในส่วนที่จะสามารถเข้าใจได้ ครับ แต่ถ้าเป็นพระธรรมที่พอจะเข้าใจได้ตามกำลังปัญญาของตน และข้อธรรมนั้นคลาดเคลื่อนจากปัญญาที่ตนเคยประจักษ์ เช่น แสดงว่า สังขารธรรมบางอย่างไม่เกิดดับ ท่านก็รู้ได้ทันที และ ปฏิเสธข้อธรรมนั้นว่าไม่ใช่พระพุทธพจน์ เพราะคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ท่านประจักษ์ตามความเป็นจริง ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่า พระธรรมข้อนั้น ในพระไตรปิฎก เป็นข้อธรรมที่เหลือวิสัย หรือ อยู่ในวิสัย ถ้าเหลือวิสัยและคลาดเคลื่อน ท่านก็เป็นผู้ตรงที่จะไม่ยินดีและคัดค้าน แต่สอบถามผู้รู้ เป็นต้น แต่ถ้าอยู่ในวิสัยปัญญาของท่าน ก็ย่อมปฏิเสธธรรมที่คลาดเคลื่อนตามความเป็นจริง

สำคัญที่สุด ของผู้ที่ศึกษาธรรมประการหนึ่ง คือ ความเป็นผู้ตรง ตรงตามความเป็นจริง สิ่งใดรู้ก็คือรู้ สิ่งใดไม่รู้ ก็ไม่สำคัญผิดว่ารู้แล้ว ก็จะทำให้เป็นผู้ตรงที่จะอบรมปัญญาต่อไป จนรู้ขึ้นและถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nopwong
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นิรมิต
วันที่ 30 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง และขออนุโมทนาครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
A1ONE
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natural
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน คือ พระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ดับความเห็นผิด ดับความริษยา ดับความตระหนี่ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม

พระโสดาบันเป็นผู้มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย เป็นผู้มีศีล ๕ ที่ครบบริบูรณ์ไม่ขาด เนื่องจากดับกิเลสอย่างหยาบที่เป็นเหตุให้ล่วงศีลได้หมดแล้ว พระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคล ซึ่งมีความห่างไกลกันมากกับผู้ที่ยังเป็นปุถุชน ท่านเป็นผู้ไม่เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของสภาพธรรม พร้อมกันนั้น ท่านก็จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลเบื้องสูงขึ้นไป และในที่สุดแล้ว ท่านก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ครับ

...ขออนุโมทนาาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 31 ม.ค. 2556

พระโสดาบันท่านมีความมั่นคงในข้อปฏิบัติ ท่านไม่มีทางเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถหลอกท่านได้ เช่น มารผู้มีบาปปลอมเป็นพระุพุทธเจ้า มาบอกกับพระโสดาบันว่า ได้สอนธรรมผิดไปข้อหนึ่ง แต่พระโสดาบันรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง จึงรู้ว่าเป็นมารปลอมตัวมา และ ไล่ให้มารไป ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ