ฝึกเด็กให้นั่งสมาธิ เพื่อโน้มให้เข้าหา ธรรมะ?
ตามที่ในสถานศึกษาหลายๆ แห่ง มักมีกิจกรรมการอบรมธรรมะ โดยให้เด็กนั่ง-สมาธิ เพื่อให้สนใจการปฏิบัติธรรม และยังเป็นวิธีที่แนะนำแก่เด็กที่มีปัญหาสมาธิสั้นด้วย ขอทราบความเห็นในเรื่องนี้ค่ะ และในฐานะที่เป็นพ่อแม่ เราควรจะทำหน้าที่ของเราอย่างไร ในการให้ลูกได้ปฏิบัติธรรมะตั้งแต่เด็ก (ในกรณีที่เด็กยังไม่เข้าใจในธรรมะ ที่สนทนากันที่มูลนิธิฯค่ะ)
ขออนุโมทนา ในความเห็นของทุกท่านที่ช่วยชี้แนะค่ะ
การอบรมธรรมะ ในเบื้องต้น ควรเป็นการให้ความรู้ ความเข้าใจในธรรมะ ย่อมมีประโยชน์มากกว่า ที่จะไปให้นั่งสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นเยาวชน หรือผู้ใหญ่ก็ตาม ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษา ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจว่า อะไรคือ
อะไรก่อน เช่น ธรรมะคืออะไร กุศลคืออะไร อกุศลคืออะไร สิ่งใดควรกระทำ สิ่งใดควรเว้น สิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดเมื่อประพฤติแล้ว นำมาซึ่งความสุขความเจริญ สิ่งใดเมื่อประพฤติแล้วนำมาซึ่งความทุกข์ตลอดกาลนาน เป็นต้น และผู้ใหญ่ควรประพฤติเป็นแบบอย่างแก่เยาวชน
เห็นด้วยกับทาง มศพ. ค่ะว่า ควรเริ่มจากการอบรมความรู้ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับธัมมะ เพราะการเริ่มต้นที่ถูกต้อง จะเป็นรากฐานที่มั่นคงต่อไปในอนาคต สำหรับเด็กๆ อาจจะสนใจเรื่องราวชาดกต่างๆ และพระพุทธประวัติ มากกว่าพระอภิธรรมซึ่งเป็นเรื่อง ที่ละเอียดและลึกซึ้ง ควรอบรม เรื่องการเจริญเมตตา ความกตัญญู การนอบน้อมถ่อมตน การเสียสละ ฯลฯ มากกว่าการฝึกนั่งสมาธิค่ะ และควรปลูกฝังความรู้ความเข้าใจ เรื่องกรรมและผลของกรรม ให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยค่ะ อันเป็นบันไดขั้นแรก ที่จะก้าวไปสู่ความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ขั้นต่อๆ ไปค่ะ
อนุโมทนากับคำตอบของมูลนิธิฯ ครับ ผมเองมีความเห็นเช่นเดียวกัน เคยมีเพื่อนที่เป็นหมอ ชอบไปปฏิบัติธรรม ที่วัดดังๆ วัดหนึ่ง ที่มีผู้อ้างถึงอยู่บ่อยๆ ในเวป เขาพาลูกหลานไปด้วย มาชักชวนผมให้พาลูกไปปฏิบัติสมาธิ อะไรเทือกนั้น โดยบอกว่าลูกหลานเขามีสมาธิ ดีขึ้น เรียนเก่งขึ้น สงบเรียบร้อย เคารพพ่อแม่เชื่อฟังอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมกลับมีความเห็นว่า การสอนให้ลูกรู้จักศาสนาที่ถูกต้อง รู้จักธรรมะที่ถูก รู้จักคำสอนที่ถูก ต้องเข้าใจชีวิต โดยข้อสำคัญที่สุดคือ เมื่อเขาได้มีความรู้ความเข้าใจ ในหลักการต่างๆ นี้แล้ว ให้เขาได้มีความคิดพิจารณา อันจะก่อให้เกิดปัญญาขึ้นเอง ในการดำรงชีวิต มิใช่การ (ผมไม่อยากเรียกว่าล้างสมองเลย) ให้เด็กไปนั่งสมาธิ แล้วชี้นำความคิดของเด็ก (ตามความต้องการของผู้ใหญ่) ซึ่งผมเห็นว่า ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญญาที่แท้จริง ในความหมายทางพระพุทธศาสนา เมื่อพูดถึงปัญญาทีไร ผมจะรู้สึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระพุทธองค์เป็นอย่างยิ่ง ให้เขาได้เกิดมีปัญญาด้วยตัวเขาเอง จะดีกว่านะครับ อย่าให้เขาเหมือนคนถูกล้างสมองเลย
จริงๆ แล้ว เป็นการยากมาก ที่จะให้เยาวชนมาสนใจ ศึกษาธรรมะในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน สิ่งที่น่าพอจะเป็นไปได้คือ เมื่อลูกหลานเห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้ใหญ่ไปในทางที่ดีขึ้น หลังการศึกษาธรรมะ เขาอาจสนใจ อยากรู้สิ่งที่ทำให้เปลี่ยนแปลง แล้วเริ่มสนใจศึกษาบ้าง โดยพ่อแม่ไม่ต้องคาดหวังมาก เพราะทุกอย่างเกิดดับ ตามเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา
ดิฉันเห็นด้วยกับทุกความเห็น และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านอีกครั้งค่ะ
สำหรับดิฉันมักจะเปิดเทปธรรม เกี่ยวกับเรื่องชาดก ฯลฯ (เช่น เดียวกับที่คุณ devout กล่าวถึง) ในระหว่างนั่งรถไปส่งลูก มาเป็นเวลาแรมปี และดิฉันก็ฟังท่านอาจารย์และอ่านหนังสือของมูลนิธิ จนกระทั่งสนใจที่จะมาฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิในวันเสาร์อาทิตย์ โดยปกติดิฉันจะมีกิจกรรมกับลูกๆ ในช่วงเสาร์อาทิตย์ดังนั้นเมื่อดิฉันมามูลนิธิ ลูกๆ ก็จะมาด้วยกัน คนโตเป็นผู้หญิง อายุ 18 ปี ก็สนใจที่จะศึกษา (ฟังได้ไม่มีปัญหา) แต่คนเล็ก อายุ 14 ปี ซึ่งก็ชอบฟังเรื่องชาดกตั้งแต่ 5 ขวบ แต่ค่อนข้างยากที่จะฟังการสนทนาอภิธรรมของผู้ใหญ่ให้เข้าใจ (เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนของดิฉันซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ เล่าให้ฟังว่าทุกวันอาทิตย์เธอจะพาลูกไปโบสถ์ และเด็กๆ จะมีกลุ่มเพื่อได้เรียนรู้ศาสนาในเรื่องง่ายๆ ส่วนเธอจะไปทำพิธีของทางผู้ใหญ่) ทำให้ดิฉันมีความคิดขึ้นมาว่า หากมีกลุ่มการเรียนย่อยที่มูลนิธิสำหรับเด็กๆ ที่สนใจ และเรียนในเรื่องพื้นฐานตามที่เด็กควรจะเข้าใจ ก็เป็นการจัดกิจกรรมที่เผยแผ่สู่เด็กนักเรียนให้รู้ และเข้าใจศาสนาในทางที่ถูกต้อง ไม่ทราบว่าในเรื่องนี้ จะเป็นไปได้ไหมคะ (ดิฉันเห็นว่า ทางมูลนิธิมีวิทยากรจำนวนมากพอสมควร พอจะจัดได้ไหมคะ และดิฉันเห็นผู้ปกครองหลายท่านพาเด็กๆ มาด้วย หากจัดกลุ่มได้ ดิฉันขออนุโมทนาล่วงหน้าค่ะ)
ดิฉัน เห็นด้วยกับทางคุณวันชัย เป็นอย่างมาก เพราะกิจกรรมที่มีในปัจจุบัน (รวมทั้งที่รร.ลูกคนเล็กของดิฉันก็คือ การนั่งสมาธิ เดินจงกรม เท่านั้น) ซึ่งไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง อาจจะล้างสมองเด็ก หรือทำให้เสียเวลาเปล่า (แม้แต่ที่สามีของดิฉันจะพาไปก็มีแต่กิจกรรมเหล่านี้ แต่เมื่อจะให้ดิฉันที่เป็นแม่พามาที่มูลนิธิ ก็ไม่สามารถฟังอภิธรรมให้เข้าใจได้ค่ะ) นอกจากนี้ กิจกรรมที่ดีๆ นี้ อาจช่วยอีกหลายครอบครัว ให้แก้ปัญหาเรื่องเด็กไปมีกิจกรรมอื่นที่ไม่มีประโยชน์ได้เป็นอย่างมากค่ะ ใคร่ขอเชิญให้ทุกท่านช่วยออกความเห็นในเรื่องการจัดกลุ่มสำหรับเด็กด้วยค่ะ
ขออนุโมทนา...
ความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญ ผมเห็นด้วยกับความเห็นที่ว่าผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ควรจะสอนธรรมะพื้นฐานตามแต่กำลังปัญญาของเด็กจะรับได้ก่อน ปลูกฝังให้เข้าใจหลักธรรมเบื้องต้น เช่น เรื่องของพระคุณของพระผู้มีพระภาค เรื่องราวในพระสูตรต่างๆ เป็นต้น
ตอบความเห็นที่ 5
จะนำข้อเสนอของท่านเรียนให้คณะกรรมการของ มศพ. ได้พิจารณาต่อไป
อนุโมทนา
เห็นด้วยค่ะ ที่บอกว่าเราควรปลูกฝังให้เด็กรู้จักพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง และคนที่สามารถจะให้ความรู้กับเด็กที่ยังเล็กอยู่ก็คือคุณพ่อคุณแม่ เพราะคุณพ่อคุณแม่มีความใกล้ชิดกับเด็กมากกว่าและสามารถถ่ายทอดไปยังเด็กๆ ได้ง่ายกว่า ดิฉันเห็นว่าควรจะเริ่มจากคุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาพุทธศาสนาให้ดีเสียก่อน จึงสามารถให้ความรู้ที่ถูกต้องไปยังเด็กได้ คุณพ่อคุณแม่ควรให้เวลาสนธนาธรรมกับลูกๆ อาจจะไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวเพราะเด็กอาจจะเบื่อ แต่ควรจะสอดแทรกธรรมะหรือคำสอนเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันทำให้เด็กมีพื้นฐานหรือมีหลักความคิดที่ถูกต้อง ถ้าเด็กโตขึ้นก็อาจจะเปิดเทปธรรมะของอาจารย์สุจินต์แหละค่ะ ให้เด็กฟังและอธิบายให้เขาฟังถ้าเกิดเขาสนใจหรือสงสัย ส่วนเรื่องการจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก ดิฉันก็เห็นด้วยค่ะ เพราะเด็กเด็กสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้และทำให้เด็กคุ้นเคยกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น หรือซักถาม และผู้ใหญ่ก็มีโอกาสที่จะอธิบายและให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเด็กในสิ่งที่เด็กไม่เข้าใจเข้าใจผิดหรือไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น
อนุโมทนาค่ะ
คุณพ่อและคุณแม่ ควรจะศึกษาพระพุทธศาสนาก่อน หาผู้แนะนำสั่งสอน ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เกื้อกูล ซึ่งจะชักจูงหรือกระตุ้นให้เด็ก เกิดปัญญาได้ด้วยการสนทนา ฟัง ซักถาม ตลอดจนรู้จักเลือกสื่อ ที่เป็นประโยชน์แก่เด็ก
วิธีการในการอบรมธรรมะ ให้เด็กๆ สำหรับแต่ละคน อาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับจริตของเด็กคนนั้น ผู้ปกครองอาจต้องลองหลายๆ รูปแบบ ดูว่าเด็กจะเหมาะกับวิธีใด สำหรับผมเอง ใช้ทั้งทางการให้ความรู้ทางธรรมะ ทั้งทางฟังธรรมะ เล่าชาดก สอนด้วยการชี้ให้เห็นตัวอย่างของจริง ในปัจจุบัน พร้อมยกข้อธรรมให้เข้าใจ ให้ทำบุญตักบาตร สังฆทาน ฯลฯ และยังให้เข้าอบรมปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานตามที่ต่างๆ
ในส่วนตัวผมคิดว่า ทั้งการศึกษาและการปฏิบัติวิปัสสนาฯ จะช่วยส่งเสริมกันให้ดียิ่งขึ้น โดยคิดจากตัวเองและเพื่อนกัลยาณมิตร ที่ได้เริ่มศึกษา และปฏิบัติพร้อมๆ กันมา ตั้งแต่ยังเด็กๆ ทำให้จิตใจมั่นคง และมีสติ ระลึกรู้กายและใจมากขึ้น
ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ
ขอเล่า เรื่องส่วนตัวอีกสักหน่อยนะครับ เผื่อว่าจะมีประโยชน์บ้าง ส่วนตัวผมมีความสนใจ ในคำกล่าวที่ว่า พ่อแม่ คือผู้แสดงโลกแก่ลูก และสนใจในสิ่งที่ได้ยินมาว่า โรงเรียนสำหรับอบรมลูกๆ คือ เวลาที่อยู่ในรถ (เพราะไม่สามารถหนีไปไหนได้?) จึงได้ใช้โอกาสนี้เสมอๆ ในการนำสิ่งใกล้ตัวที่ได้พบเห็น เป็นปัจจุบันนั้นเองพูดคุยกับลูก พร้อมๆ กับการสอดแทรก คำสอนของพระพุทธองค์ และคำบรรยายของท่านอาจารย์ ที่เกี่ยวเนื่องกันไปด้วย โดยไม่ลืมที่จะเฉไฉเรื่องที่เขาสนใจด้านอื่นๆ ไปด้วย (กลัวเขาจะรู้ตัวว่า กำลังถูกโฆษณาชวนเชื่อ) ก็ทีละนิดทีละหน่อย นะครับ บ่อยๆ เนืองๆ ดังท่านอาจารย์บอก กราบท่านอาจารย์อีกครั้งครับ สำนึกในพระคุณท่านเป็นที่สุด ที่ท่านได้กรุณา ทำให้แจ้งในพระกรุณาธิคุณ อันไม่มีประมาณ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาครับ
ในการที่ให้เด็กเล็กๆ ไปนั่งหลับตา เพื่อบอกว่าเป็นการฝึกสมาธินั้น ผมว่ามันไม่เหมาะกับเด็ก คุณต้องเข้าใจว่า สมาธิคืออะไรก่อน การจะให้เด็กฝึก ควรจะให้สมาธิขนาดไหน ถ้าไม่รู้จะเป็นอันตรายกับเด็ก เหมือนกับให้เด็กอ่านหนังสือ โดยยังไม่ได้เรียน ก.ไก่ ข.ไข่เลย การฝึกสมาธิเด็ก คือหาข้อความคำพูด เหตุการสั้นๆ ให้เด็กหัดจำ หาปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เด็กแก้ปัญหา และหาปัญหา เพื่อให้เด็กวิเคราะห์ปัญหา แล้วสอดแทรกปัญหา หรือเล่าเรื่องเกียวกับ พุทธประวัติแบบสั้น เพื่อให้เด็กหัดจำ โดยไม่มีการจด แล้ววันรุ่งขึ้น ให้มาเล่า เพื่อให้เกิดทักษะในการฟังและใช้สมาธิในการจดจำ และเด็กทุกคนที่ฝึกแบบนี้ ท่านคิดว่าอนาคตเด็กเหล่านี้ จะเป็นอย่างไรต้องเก่งและดี
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน และเห็นด้วยกับทุกๆ ความเห็นครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ กระทู้นี้เป็นประโยชน์ ที่สำนักปฏิบัติธรรม ควร ได้อ่านนะคะ
ที่รร.ของลูกผมบังคับให้นักเรียนนั่งสมาธิกลางแดด จนนักเรียนเกลียดการนั่งสมาธิไปเลย เพราะร้อนจนเหงื่อออกซ๊ก ถึงแม้จะแค่สิบนาทีก็ตาม เห็นได้ว่ารร.ปัจจุบันสอนเรื่องพุทธศาสนากันแค่แบบอย่างเท่านั้น ไม่ได้สอนกันในเนื้อหาหรือเน้นให้เกิดปัญญาเลย จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราเองที่จะสั่งสอนลูกหลาน ผมใช้เวลาและโอกาสเท่าที่มีกับลูก ในการสอดแทรกพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่าที่ปัญญาตนเองจะทำได้ และที่สำคัญ คือ ต้องทำเป็นตัวอย่างเองด้วย เช่น การให้ทานแก่ขอทานเมื่อมีโอกาส แม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นโอกาสสอนเรื่องความเมตตา กุศลจิต อกุศล/กุศลวิบาก ซึ่งเด็กๆ จะซึมซับได้ครับ
ขออนุโมทนาในทุกๆ ข้อคิดเห็น ข้อแนะนำ และการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ต่างๆ ที่มีประโยชน์แก่ดิฉัน และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง ทุกๆ ท่าน อีกทั้ง อาจเกิดการช่วยกันสร้างสรรกิจกรรมที่ดี ให้เด็กในทางด้านการศึกษาธรรม ที่ถูกต้องต่อไปค่ะ
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน บรรดาแม่ๆ ที่สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ ได้พาลูกๆ ซึ่งตอนนั้น กำลังย่างเข้าวัยรุ่น มาพบกันที่มูลนิธิฯ (ช่วงเวลาปิดเทอม) และท่านอาจารย์ก็เมตตาต่อเด็กๆ มาก ท่านสนทนาธรรมกับลูกๆ พร้อมกับคุณแม่ทั้งหลายด้วย ท่านจะเริ่มจากการสนทนาธรรมง่ายๆ เหมาะสมกับวัยของลูกๆ แต่เป็นประโยชน์ เป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นพื้นฐานที่ดีแก่ลูกๆ ของพวกเรา เดี๋ยวนี้เด็กๆ เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และมีความเข้าใจถูก เห็นถูกในเรื่องของธรรมะ แม้จะไม่ค่อยได้มาฟัง เพราะเหตุใดๆ ก็ตาม แต่สัมมาทิฏฐิ ก็ได้ถูกปลูกฝังอยู่ในใจของลูกๆ แล้ว ด้วยเมตตาของ ท่านอาจารย์สุจินต์ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ แทนลูกๆ ของทุกคน พวกเขารักและเคารพ ท่านอาจารย์ มากๆ และลูกก็ยังฟังธรรมตามกาลอยู่เสมอๆ
เห็นด้วยกับทุกความเห็นค่ะ ที่โรงเรียนซึ่งดิฉันทำงานอยู่ มีครูบางท่าน ให้เด็กนั่งสมาธิ คล้ายเป็นการลงโทษ โดยการบังคับให้เด็กนั่งนิ่งๆ หลับตา ในระหว่างนั้นครูก็ทั้งบ่น และว่ากล่าว ด้วยน้ำเสียงชวนสะดุ้ง ไกลจากคำว่าสงบ เมื่อดุด่าไปจนเสร็จธุระของครู ก็ให้นักเรียนออกจากสมาธิ แล้วแผ่เมตตา! ดิฉันได้แต่ฟัง และดูตาปริบๆ ด้วยความสงสารอนาคตของชาติ ที่โดนทำลายความเข้าใจอันถูกต้อง ต่อพระพุทธศาสนาของเด็กๆ จะบอกครูท่านนั้น ก็เปล่าประโยชน์ เพราะเคยเลียบเคียงแล้ว มีทีท่าว่าท่านจะโกรธ ดิฉันจึงต้องนิ่ง และช่วยเหลือเด็กๆ ในวันเวลาอื่นๆ ซึ่งท่านไม่อยู่ หรือไม่ว่าง ด้วยการพูดคุย และค่อยๆ ทำความเข้าใจ เท่าที่เวลาเล็กน้อย จะสามารถแก้ไขได้ และดิฉันเห็นด้วยกับการจัดกลุ่ม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องสำหรับเด็กๆ ตามที่ คุณ Kanokwan เสนอมาค่ะ
ขออนุโมทนา...