ตายไปแล้วเอาไปฝัง กับตายแล้วเอาไปเผา

 
ผู้แสวงหา
วันที่  7 ก.พ. 2556
หมายเลข  22453
อ่าน  7,789

ผมมีความรู้สึกในใจว่าถ้าผมตายไม่อยากให้เอาไปเผา ผมเป็นลูกคนจีน บรรพบุรุษก็เอาไปฝัง ผมกลัวว่าเอาไปเผาแล้วกลัวว่าตัวเองจะร้อน ทนทุกข์ทรมาณ มีความรู้สึกเป็นตัวตนมาก ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าตายไปแล้วสัมผัสทั้งหลายก็หายไป ไม่รู้เรื่อง ไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่ใจมันก็คิดอยู่ว่าเผาแล้วกลัวร้อน ถ้าความคิดนี้มีอยู่ผมคิดว่าเอาผมไปฝังดีกว่า แต่ภรรยาผมเขาบอกว่าถ้าเขาตายให้เผาเขา ผมกลัวว่าถ้าผมตายก่อนเขาจะเอาผมไปเผา แต่ผมในใจคิดว่าไม่อยากถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่าน น่ากลัวมาก ผมอยากให้ฝังตายเป็นโครงกระดูกยังดูดีกว่า ถ้าต้องเผาผมจะต้องภาวนาเห็นชอบอย่างไรครับ จึงจะไม่กลัวการเผาศพตัวเอง ผมเป็นคนกลัวป่วย กลัวการผ่าตัด กลัวตาย กลัวการเผาศพ จะทำอย่างไปให้ความรู้สึกนี้หายไปอย่างถาวรครับ


Tag  ฝัง  ศพ  เผา  
  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 7 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ

ตายไปแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว เปรียบเสมือนท่อนไม้ จะเผาหรือจะฝัง ก็ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น จึงไม่ ใช่เรื่องที่ควรกลัวแต่อย่างใด สิ่งที่ควรกลัว คือ กิเลส อกุศลธรรม สัตว์ที่ตายไปแล้ว ก็ไปตามกรรม ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ถ้าเป็นผลของกรรมชั่ว ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ แต่สำหรับบุคคลผู้ที่ดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ตายแล้วไม่เกิดอีก ครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ -หน้า๓๘๘

"ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน กายนี้ มีวิญญาณไปปราศ อันบุคคลทิ้งแล้ว ราวกับท่อนไม้ ไม่มีประโยชน์ฉะนั้น"

ชีวิตของบุคคลผู้ที่มาในโลกนี้ ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ เกิดเป็นบุคคลในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป (ตราบใดที่ยังมีกิเลส) ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ผู้ที่เป็นญาติหรือบุคคลรอบข้างก็นำศพอันปราศจากจิต ไปเผาหรือทำฌาปนกิจ (ทำกิจคือการเผา) หรือถ้าไม่เผาก็ฝัง จะเผาหรือฝัง ก็ไม่มีผลต่อบุคคลผู้ที่ตายไปแล้ว ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคน ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น แทนที่จะไปคิดเรื่องอื่น ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ก่อนที่วันสุดท้ายของภพนี้ชาิตินี้จะมาถึง ควรจะทำอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด นั่นก็คือ ทำความดี และฟังพระธรรมให้เข้าใจ สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดี ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เพราะอกุศลธรรม พึ่งไม่ได้เลย สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้นั้น ต้องเป็นธรรมฝ่ายดีเท่านั้นจริงๆ โดย เฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก [ปัญญา] ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 7 ก.พ. 2556

แล้วแต่ความเชื่อของคน ไม่ว่าจะฝังหรือเผาก็เหมือนกัน ตายแล้วไปตามกรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 7 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมที่มีจริงที่สมมติว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ มีนามธรรมและรูปธรรมที่ประชุมรวมกัน ที่เป็น จิต เจตสิก รูป จิต เจตสิกเป็นนามธรรมที่เป็นสภาพรู้ หากไม่มีจิต เจตสิก ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ส่วนรูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย เช่น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น

ดังนั้น ที่เรียกว่าสิ่งมีชีวิต ยังมีชีวิตอยู่ เพราะ มีนามธรรมและรูปธรรม มี จิต เจตสิก และรูป แต่ สิ่งที่ไม่มีชีวิต เพราะไม่มีนามธรรม คือ จิต เจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่มีเพียงรูปธรรมเท่านั้น เช่น ก้อนหิน ภูเขา โต๊ะ ซากศพ เป็นต้น ล้วนแต่เป็นเพียงรูปธรรม ไม่มี จิต เจตสิกเกิดแล้ว ครับ

เราก็จะกลับมาเข้ามาทีละนิด ในส่วนของความจริงที่ว่า จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ขณะที่คิดนึก เป็นการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ขณะที่ชอบ ขณะที่ไม่ชอบ ขณะที่โกรธ เหล่านี้ เป็นการทำหน้าที่ของสภาพรู้ที่เป็นนามธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก ครับ

และกลับมาที่ประเด็นคำถาม ขณะที่เจ็บ ขณะที่รู้สึกร้อน สภาพธรรมอะไรที่ทำให้เจ็บ สภาพธรรมอะไรที่ทำให้ร้อน หากไม่มีสภาพรู้ คือจิต เจตสิก ก็จะไม่มีการรู้อะไรเลย ไม่มีการรู้อารมณ์ ไม่รู้สึกทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กายและใจ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการกระทบสัมผัสทางกาย คือ ไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาวเลย เพราะ ไม่มีสภาพรู้ คือ จิต เจตสิก ดังนั้น ขณะที่ร้อน ก็ต้องเป็นจิตเจตสิกที่เกิดขึ้น รู้ร้อนทางกาย ถ้ามีแต่เพียงรูป ก็ไม่ทางรู้สึกร้อน เช่น เอาไฟมาเผาถ่าน ถ่านก็ไม่รู้สึกร้อน ไฟก็ไม่รู้ว่ากำลังเผาถ่าน เพราะไม่มีสภาพรู้ คือจิตเจตสิกเลยในถ่านและในไฟครับ และไม่มีความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ และความรู้สึกเจ็บ คือ ขณะที่กายวิญญาณเกิดขึ้น คือ มีจิต เจตสิกเกิดขึ้น หากไม่มีจิต เจตสิก ก็ไม่มีการรู้สึกเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น เมื่อมีเพียงแต่รูปธรรม เช่น ก้อนหิน ภูเขา โต๊ะ เก้าอี้ เหล่านี้มีแต่รูปธรรม ก็ไม่มีความรู้สึกอะไร จะถูกไฟ จะถูกหนาว ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น ครับ

ดังนั้น สิ่งมีชีวิต คือ มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก และ มีรูปธรรม ที่เรียกว่าร่างกายด้วย แต่เมื่อ จุติจิตเกิด คือ ตายไป สำหรับผู้มีกิเลส ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อ คือ เกิดใหม่ แต่เกิดใหม่ที่ไม่ใช่ในรูปร่างกายเก่าแล้ว ก็เกิดในภพภูมิใหม่ เป็นบุคคลใหม่ ในรูปร่างกายใหม่ ส่วนรูปร่างกายเก่า ก็จะไม่ มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกอีกเลย เมื่อไม่มีสภาพรู้ คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก จะเจ็บได้ไหม จะรู้สึกร้อนได้ไหม เพราะความเจ็บ ความรู้สึกร้อน คือ การทำหน้าที่ของ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นครับ เมื่อไม่มีจิต เจตสิกก็ไม่ร้อน ไม่ทรมาน ไม่เจ็บอีกเลย ครับ

ผู้ที่ตายไป ร่างกายที่เรียกว่าศพ จึงไม่ต่างจากก้อนหิน ต้นไม้ เก้าอี้ ที่มีแต่เพียงรูปธรรมเท่านั้น คือ มี ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รสโอชา ที่เป็นเพียงแต่รูปธรรม ๘ อย่างประชุมรวมกัน ไม่มีจิต เจตสิกเลย เมื่อศพหรือคนที่ตายแล้ว ร่างกายนั้นไม่มีจิตเจตสิก ใครจะด่า ว่า ก็ไม่โกรธ ใครจะเอาไฟ มาเผา จะอยู่ในห้องเย็น ก็ไม่รู้สึกร้อนหรือหนาว เพราะไม่มีจิตเจตสิกเกิดขึ้น เพราะจิตเจตสิกไปเกิดขึ้นในรูปร่างกายอื่นแล้ว ครับ หากยังรู้ร้อนอยู่ ยังหนาว ยังเจ็บอยู่ แสดงว่าคนนั้นยังไม่ตาย เพราะ มี จิต เจตสิก เกิดขึ้นที่ร่างกายนั้นอยู่ ครับ

ข้อคิดในเรื่องความตาย ที่เป็นร่างกายที่ไม่มีชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่มีชีวิตด้วยความประมาท คือ ไม่ทำกุศลเลย ไม่ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรม ก็ไม่ต่างกับบุคคลที่ตายแล้ว ซึ่งอธิบายว่า คนที่ตายแล้ว ก็ไม่มีความคิดที่จะให้ทำกุศล เพราะไม่มี จิต เจตสิก นี่แสดงว่า เมื่อคนที่ตายแล้ว ไม่มีจิต เจตสิก ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น และ ไม่เจ็บ ไม่ร้อนด้วย ส่วนคนที่ประมาท ก็ชื่อเหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะก็ไม่ทำกุศล เหมือนกับซากศพที่ไม่ทำกุศล ครับ

การใช้ชีวิตประจำวัน ควรที่จะเห็นความจริงว่า ควรหรือไม่ที่จะประพฤติตนดังเช่นคนที่ตายแล้ว ที่ไม่เจริญกุศล อบรมความดี และ เจริญปัญญา เพราะมีชีวิตอยู่ก็สักว่าเพียงลมหายใจ

ถ้าจะกลัวไฟ กลัวการเจ็บ ก็ควรที่จะกลัวเหตุที่จะทำให้เจ็บ และเป็นไฟที่น่ากลัวกว่าไฟใดๆ นั่น คือ ไฟที่เป็นกิเลส ที่จะทำให้มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป อยู่ร่ำไป และ จะต้องทำบาป จึงทำให้มีการเจ็บ ต้องทนทุกข์ทรมานในภพภูมิที่ไม่ดี คือ เกิดในนรก เป็นต้น ดังนั้น ไฟ ไม่ได้ทำร้าย รู้สึกอะไร กับ ร่างกายที่ตายแล้ว แต่ไฟ คือ กิเลส ที่กำลังเผาใจในขณะนี้ ให้เดือดร้อน ให้กลัว ที่จะถูกเผา เพราะ ไม่รู้ความจริง ควรอย่างยิ่งที่จะละกิเลส ที่กำลังเผาใจ ด้วยการเจริญ อบรมปัญญา ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูก ก็จะทำให้ละกิเลส คือ ความไม่รู้ไปทีละน้อย และ ก็ทำให้ใจเบาสบาย เพราะปัญญาเกิด และ ไม่กลัวการถูกเผาเมื่อตายไป ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
นิรมิต
วันที่ 8 ก.พ. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 8 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 8 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"เผาหรือฝังก็ไม่ต่างกันเลยครับเพราะเหลือแต่รูป"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 8 ก.พ. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 1 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 22 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ