ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้านอาหาร Cowboy Cafe ราชบุรี ๕ ก.พ. ๒๕๕๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  10 ก.พ. 2556
หมายเลข  22468
อ่าน  3,895

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และ คณะวิทยากร ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ได้รับเชิญจาก พันตำรวจเอก ปรัชญ์ชัย และ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ

เจ้าของร้านอาหาร Cowboy Cafe' จังหวัดราชบุรี

เพื่อไปสนทนาธรรมที่ร้าน และ ที่บ้านของท่านทั้งสอง

ข้าพเจ้า ได้รู้จักกับคุณเอ๋ (สุภัทรา) เมื่อคราวเดินทางไปอินเดีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน

ปี ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ในคราวที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

นำพระรัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต คือ ที่ครอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ

ที่ทางมูลนิธิฯโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับโอกาสจากสมาคมมหาโพธิ์

แห่งประเทศอินเดีย เพื่อสร้างที่ครอบดังกล่าว และ ท่านอาจารย์ ได้เป็นผู้นำคณะฯ

เดินทางไปถวายไว้ ที่ พระมูลคันธกุฎีวิหาร เมืองสารนาถ พาราณสี

ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมวีดีโอ พีธีมอบฯ ในวันดังกล่าว และ กระทู้ที่เกี่ยวข้องที่นี่ครับ

วิดีทัศน์ พิธีถวาย รัตนบุษยภาชน์อโศกมหาราชปริวรรต สารนาถ พาราณสี อินเดีย

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศอินเดีย ๒๓ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ [ตอนที่ ๓]

ขณะที่อยู่ที่เมืองพาราณสี คุณเอ๋ก็ได้แสดงให้เห็นถึงกุศลจิต และ กุศลศรัทธา

ที่ได้ร่วมกันกับน้องมาศสุภา สั่งอาหารกล่องอย่างดี จากโรงแรมคล๊าคนับสิบกล่องใหญ่

ให้แก่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ที่ปฏิบัติภารกิจจนดึก และ ยังไม่ได้รับประทานอาหาร

เป็นความตั้งใจจริง และ ความจริงใจ ที่เห็นได้ และ น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง

เมื่อกลับมาประเทศไทยแล้ว ก็ได้ทราบจากประกาศของมูลนิธิฯว่า

คุณเอ๋และสามี คือ ท่านพันตำรวจเอกปรัชญ์ชัย ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์

ไปสนทนาธรรมที่ร้านอาหารของท่านและที่บ้าน เพื่อเกื้อกูลแก่คุณแม่ของสามีและญาติๆ

เป็นกุศลเจตนา ที่ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วยครับ อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ทราบในภายหลังว่า

คุณเอ๋ ได้ติดตามชมรายการบ้านธัมมะ ทางสถานีโทรทัศน์ TNN 2 มานานนับปีแล้ว

จนวันหนึ่ง เมื่อคราวที่ท่านอาจารย์ได้รับเชิญไปสนทนาธรรมที่บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง ราชบุรี

เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ (คราวน้ำท่วมกรุงเทพฯ)

พันตรีหญิงศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี ได้พาท่านอาจารย์และคณะฯบางส่วน แวะรับประทานอาหาร

ที่ร้าน Cowboy Cafe' ซึ่งคุณเอ๋ กำลังดูแลร้านอยู่ และ เธอเล่าแก่ข้าพเจ้าฟังว่า

เธอสังเกตุเห็นลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน และ สะดุดตากับสุภาพสตรีท่านหนึ่ง

เมื่อคุณเอ๋นึกออกว่า สุภาพสตรีท่านนั้น คือ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ที่เธอติดตามฟังและชมรายการบ้านธัมมะ มานานนับปีนั้น บัดนี้ ท่านมาปรากฏอยู่ต่อหน้า

ที่คุณเอ๋กล่าวว่า ไม่เคยนึก ไม่เคยฝันเลย เธอบอกลูกน้องในทันที ให้ดูแลงานแทน

และ รีบเข้าไปกราบต้อนรับและดูแลท่านอาจารย์ และ คณะฯ ด้วยตัวเอง ขณะที่เล่าเรื่อง

ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นใบหน้าและดวงตาที่เปี่ยมสุขของเธอ พลอยทำให้ข้าพเจ้าปีติไปด้วย

อนึ่ง เมื่อทราบว่าคุณเอ๋ กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมที่ร้าน

ข้าพเจ้าก็ดูข้อมูลในกูเกิ้ล ได้พบว่า ร้าน Cowboy Cafe' ของคุณเอ๋

นอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องอาหารทั้งอาหารฝรั่งและอาหารไทย ที่คุณเอ๋เอง

เป็นผู้ที่ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม จากสถาบันอาหารชื่อดังในเมืองไทย อยู่ไม่ขาด

ทำให้ท่านที่เดินทางผ่านไปราชบุรี ต้องแวะรับประทานอาหารที่ร้านของคุณเอ๋แทบทั้งสิ้น

คุณเอ๋ ตั้งใจมาก ที่จะทำการต้อนรับท่านอาจารย์และสหายธรรมทุกท่าน

ที่เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรม ในครั้งนี้ และได้ตระเตรียมการล่วงหน้า นานหลายเดือน

เนื่องจากทราบว่า จะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังนับร้อยคน จึงจัดเตรียมรถสุขาไว้เพิ่มด้วย

กับทั้ง จัดซุ้มอาหารกลางวันไว้บริการ ซึ่งมาจากร้านชื่อดังในจังหวัดราชบุรี

รวมถึงมีชา กาแฟ ชงบริการแก่ทุกท่านสดๆ ทั้งร้อนและเย็น ตลอดเวลาอีกด้วย

ทุกท่านที่ไปร่วมฟังการสนทนาธรรมในวันนั้น ถึงกับปลื้มใจ ออกปากชมเหมือนกันหมดว่า

ท่านเจ้าภาพทั้งสอง จัดการสนทนา และ ให้การต้อนรับ อย่างดีเยี่ยมพรั่งพร้อมสมบูรณ์

เป็นการให้ทั้งทาน คือ อาหารอันเลิศ และ ที่สำคัญที่สุดคือ ธรรมทานอันเลิศ อย่างยิ่ง

อีกประการหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าสังเกตุเห็น คือ ความใจกว้างและความมีน้ำใจของท่านเจ้าภาพ

ที่ท่านดูแลทุกคนโดยเสมอภาคกัน ข้าพเจ้าประทับใจกับภาพลูกน้องและบริวารของท่าน

ที่ได้รับประทานชา กาแฟ และ อาหารต่างๆ อย่างเต็มที่ และ ไม่อั้นเลย ทุกคนดูตื่นเต้น

มีความสุข สนุกสนาน ไปกับการต้อนรับ และ การให้บริการอย่างดี

และมีหลายคน นั่งฟังการสนทนาธรรม อย่างตั้งใจ น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง

อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขออนุญาตนำความการสนทนาธรรมในวันนั้น ทั้งภาคเช้าและบ่าย

มาฝากทุกท่านเพื่อพิจารณา เพื่อประโยชน์เพียงประการเดียว

คือ ความเข้าใจธรรม

ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ไม่มีสิ่งใดประเสริฐกว่า

ตามควรแก่กาล ดังนี้ครับ

ท่านอาจารย์ ธรรมะ เป็นเรื่องที่ยาก ที่จะเข้าใจ หรือว่า เป็นเรื่องง่ายๆ

ไม่ต้องศึกษา ก็จะเข้าใจได้ นี่ก็ต้องไตร่ตรอง ตั้งแต่ขั้นต้น

พระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง

ไม่ใช่หมายความว่า เราจะไม่ศึกษา เพียงแค่ฟัง ก็จะเข้าใจได้

นั่นคือ ความเข้าใจ "เผิน" มาก

แล้วก็ไม่รู้ "พระคุณ" ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วย

เพราะฉะนั้น ฟังแล้ว ยาก หรือ ง่าย? มีใครว่าง่ายบ้าง?

ยากมาก นะคะ

ได้ยินคำว่า อาจหาญ ร่าเริง

ยาก แต่ก็ กล้า ที่จะรู้ความจริง ซึ่งแสนยาก แล้วก็อีกนาน (กว่าจะรู้)

แต่ถ้าไม่มึความกล้าหาญ ไม่มีความร่าเริง อาจหาญ

ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้เลย

เพราะเหตุว่า แม้ธรรมะ จะมีอยู่ ตั้งแต่เกิดจนตาย....แม้ขณะนี้.....

ฟังแล้ว.....ก็ยังไม่สามารถ ที่จะรู้ทั่วถึง หรือว่า เข้าใจได้

เพียงแต่ว่า...เริ่มเข้าใจได้.....ตามลำดับ....

คือ สิ่งที่มีจริง ขณะนี้ พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงไว้ โดยละเอียด ให้เข้าใจความจริง

เพราะฉะนั้น อาจหาญ ที่จะรู้ความจริง

ซึ่งยาก และ อีกนาน หรือเปล่า?

คงได้ยินคำว่า "บารมี"

ถ้าปราศจากคุณความดี ที่จะทำให้รู้ความจริง

จะรู้ความจริง ไม่ได้เลย

คุณความดีหนึ่ง ก็คือ สัจจะ ความจริงใจ

เป็นผู้ที่รู้ว่า "ความจริง" มีในขณะนี้ แต่ยังไม่รู้

แต่รู้ได้

เพราะฉะนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ อาจหาญ ร่าเริง

ที่จะอดทน ต่อการที่จะ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

จนกว่า สามารถที่จะ "รู้จัก" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงคิด

เพราะว่า ฟังมาว่า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณ

แต่จะ "รู้พระคุณ" ต่อเมื่อได้ "เข้าใจพระธรรม"

ซึ่งนานมาก ๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดง

ทรงแสดง ความจริง เดี๋ยวนี้ !!!

สำหรับ "ทุกขณะ" ให้ได้เข้าใจถูกต้อง

ถ้าเห็นประโยชน์อย่างนี้ ก็จะรู้ตัวเองว่า อาจหาญพอไหม?

ที่จะมีวิริยะ มีความจริงใจ มีความมั่นคง ที่รู้ว่า

วันหนึ่ง พระธรรมที่ทรงแสดง "ทุกคำ" สามารถรู้ ตามความเป็นจริงอย่างนั้นได้ แน่นอน

แต่จะรู้ทันที ไม่ได้

เพราะฉะนั้น อะไรประเสริฐสุด?

ถึงแม้จะมีความรู้มาก เป็นศาสตราจารย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี

หรือ เป็นอะไรก็ตาม สูงที่สุด

แต่เป็นคนชั่ว

หรือว่า มีปริญญามากมาย หลายมหาวิทยาลัย แต่เป็นคนชั่ว

กับ การที่จะเป็นคนดี แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่า ชีวิตนี้ สั้นมาก

ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย

ว่าจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เมื่อไหร่?

แต่ว่า เคยคิดไหม? ว่าก่อนจะเวลานี้ ดี หรือ ชั่ว แค่ไหน?

แล้วก็ ได้เข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งเป็นโอกาสที่ยากมาก

ถ้าไม่มีความศรัทธา ที่จะรู้ว่า

ประโยชน์สูงสุด ในชีวิต ซึ่งแสนสั้น

สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ได้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง

แม้ว่าจะเข้าใจยาก

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์อย่างนี้ ก็จะไม่คิดว่า อย่างอื่น มีประโยชน์กว่า

ไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง หรือ อะไรๆ ก็ตามแต่

ก็เป็นแต่เพียง สิ่งที่หลง แล้วก็ยึดถือ

แต่ว่า ถ้ามีความเข้าใจธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

พระเจ้าพิมพิสาร, สีหเสนาบดี ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้

แล้วก็รู้ด้วยว่า ชีวิตที่จะเกิดขึ้น เป็นไป แต่ละขณะนี้

ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

แม้แต่ "เห็น" หนึ่งขณะ ที่จะเกิดได้ ก็ยังต้องอาศัยหลายอย่าง

เช่น ต้องอาศัย จักขุปสาท มีตา แล้วก็ต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้

เท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีธาตุรู้ คือ เกิดขึ้นเห็น ในขณะนี้

ที่เราใช้คำว่า "จิต" กำลัง "เห็น"

มิฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ชั่วขณะ ที่แสนสั้น

ก็ปรากฏไม่ได้

ทั้งหมด เป็นอย่างนี้ ชั่วคราว แสนสั้น อย่างนี้

เพราะฉะนั้น คนที่ได้รู้ความลึกนี้ของชีวิต ก็จะรู้ว่า

เกิดมา ที่มีค่าที่สุด ก็คือว่า ไม่ใช่อย่างอื่น ที่ทำให้หลงติด

แต่ต้องเป็น ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

ผู้ที่มีปัญญา ในครั้งอดีต ก็คือ ผู้ที่จะรู้ความจริง ที่สามารถหมดกิเลสได้

ท่านกล่าวว่า ถ้าท่านจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สักเท่าไหร่

แต่ "หลงติด" ในสิ่งนั้น ก็ขออย่าให้ได้สิ่งนั้นเลย

"อาจหาญ" ไม๊คะ?

"ร่าเริง" ที่จะรู้ว่า

สิ่งอื่น ไม่มีค่า เท่ากับ ความเข้าใจธรรมะ

ซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่มีทาง ที่ใครสามารถที่จะ รู้ความจริง ซึ่งมีอยู่ทุกขณะนี้ ได้เลย

และ มีอีกท่านหนึ่ง

ท่านก็บอกว่า ธรรมดา เพศบรรพชิต ก็เป็นที่เคารพ กราบไหว้ของบุคคลอื่น

แต่ท่าน ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ จะบำเพ็ญคุณความดี

ที่จะให้ได้สิ่งนั้น เหมือนบรรพชิตได้ แต่ในเพศคฤหัสถ์

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า คุณความดี เป็นที่เคารพ

แต่ไม่ว่า จะอยู่ในเพศใด

ถ้าไม่มี คุณความดี ใครจะนับถือ? หรือ ใครจะเคารพ ด้วยความจริงใจ

ก็เป็นไปไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ก็เป็นลาภอันประเสริฐ ที่ได้มีโอกาสได้เข้าใจธรรมะ

บางคน ก็คิดว่า ลาภอันประเสริฐ คือขณะ ที่ได้รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม

แต่ว่า ลืมว่า ดั้งเดิม ต้นเหตุ

ก็คือ การฟังธรรมะ นั่นเอง

[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเสื่อมญาติมีประมาณน้อย

ความเสื่อมปัญญาชั่วร้ายที่สุดกว่าความเสื่อมทั้งหลาย.

[๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเจริญด้วยญาติมีประมาณน้อย

ความเจริญด้วยปัญญาเลิศกว่าความเจริญทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้ว่าเราทั้งหลายจักเจริญด้วยปัญญาดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้แล.

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาตเล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 143

หลังรับประทานอาหารกลางวัน ที่ท่านเจ้าภาพจัดเตรียมไว้เสร็จแล้ว

ท่านเจ้าภาพ ได้นำทุกท่าน ไปยังบ้านไร่มณฑา ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวใจชาญสุขกิจ

ที่มีญาติพี่น้อง ปลูกบ้านรวมกัน ในบริเวณที่กว้างใหญ่ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากครับ

โดยมีคุณย่าคือคุณแม่ของสามีของคุณเอ๋ (พ.ต.อ.ปรัชญ์ชัย) เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกๆ

ในบ้านหลังใหญ่ ซึ่งคุณเอ๋ ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้อย่างสวยงาม พรั่งพร้อม

ที่สนามหน้าบ้านคุณย่า เป็นที่ประทับใจของทุกท่านอย่างยิ่ง ในวันนั้น

ซึ่งข้าพเจ้าขอนำความการสนทนาบางตอน และ ภาพบรรยากาศการสนทนาในบ่ายนั้น

มาฝากให้ทุกท่าน ได้ชมและพิจารณาด้วย ดังนี้ครับ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

คุณคำปั่น กราบสวัสดีทุกท่านนะครับ ก็กลับมาสนทนาต่อในภาคบ่าย

เริ่มตั้งแต่ ๑๔ นาฬิกา ถึง ๑๖ นาฬิกา นะครับ แล้วก็ย้ายการสนทนาธรรม

จากร้าน Cowboy Cafe' มาที่บ้านไร่มณฑา จังหวัดราชบุรี ซึ่งท่านผู้เป็นเจ้าภาพ

ในการจัดสนทนาธรรมในครั้งนี้ คือ พันตำรวจเอก ปรัชญ์ชัย และ

คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ

ซึ่งตอนนี้ พันตำรวจเอกปรัชญ์ชัย ท่านติดภารกิจ ยังอยู่ก็คือ ภรรยาของท่าน

คือ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ

ในช่วงเช้า หลายท่านก็บอกว่า ประทับใจ ในการได้ฟังความจริง

เพราะว่า ความจริงนี้ ก็ไพเราะทุกคำ เพราะเป็นคำจริง เป็นสัจจธรรม

ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง

ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวย้ำอยู่เสมอว่า การที่จะมีปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับนั้น

จะขาดไม่ได้เลย คือ การฟัง ด้วยความละเอียด รอบคอบ

และเป็นผู้ที่ มีความจริงใจ ในการศึกษาพระธรรม ว่า

ศึกษา เพื่ออะไร?

ก็ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น เพื่อความเข้าใจธรรมะ เข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง เท่านั้น

เพราะว่า ผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า

ต้องได้ฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง

ก่อนที่จะจบในช่วงเช้า ท่านอาจารย์กล่าวถึง "บารมี" ซึ่งก็คือ คุณความดี ประการต่างๆ

ที่จะเป็นเครื่องอุปการะ ให้ "ปัญญา" คือ ความเข้าใจธรรมะ

เข้าใจสิ่งที่มีจริง เจริญขึ้น

เพราะว่า การที่ปัญญา จะเจริญขึ้น จะต้องอาศัยความดีประการต่างๆ คอยอุปการะ เกื้อกูล

ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ในช่วงนี้ก่อนนะครับว่า ความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

จะเป็นเครื่องอุปการะ เกื้อกูล ต่อความเจริญขึ้นของปัญญา อย่างไร?

เพราะว่า ในช่วงเช้า ท่านอาจารย์กล่าวถึง สัจจะ คือ ความจริงใจ

ซึ่งก็เป็นหนึ่ง ในบารมีด้วย ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ การที่จะรู้ความจริง ไม่ง่ายเลย

เพราะว่า ไม่เคยรู้ และ เคยยึดถืออย่างมาก ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เที่ยง

เช่น ขณะนี้ ที่กำลังเห็น ไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้น และ ดับไป

แม้ว่าจะมี "ได้ยิน" ซึ่งไม่ใช่ "เห็น"

แต่ความเข้าใจไม่พอ ที่จะละการยึดถือ ว่า "เห็น" เมื่อกี้นี้ ดับแล้ว ไม่เหลือเลย

จึงได้มี ขณะที่ "ได้ยิน" ขณะนี้

และ แม้ที่ได้ยิน ขณะนี้ ก็ดับแล้ว เร็วมาก ไม่เหลือเลย

แต่กว่า "ปัญญา" จะสามารถเข้าใจ แล้วก็ ละคลาย การยึดถือ การติดข้อง

ก็แสดงให้เห็นว่า ฟังอย่างนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียว

หลายครั้งมาก

แต่ว่า กว่าจะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ

ว่าเป็นแต่เพียง "สิ่งหนึ่ง" สิ่งหนึ่ง...แต่ละหนึ่ง....ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

ก็ต้องอาศัย การฟังแล้ว ฟังอีก

แต่ คนที่ฟังแล้ว ฟังอีก ก็เป็นผู้ตรง

ฟังแล้ว ฟังอีก ก็ยังเป็นเรา

แล้วก็มีอกุศลอย่างมาก เหมือนเดิม นะคะ

เพราะเหตุว่า ปัญญา ที่เพียงเข้าใจ เล็กน้อย นิดหน่อย

ไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริง ว่า

ขณะนี้ เป็นธรรมะจริงๆ มีจริงๆ เกิดขึ้นจริงๆ ดับไปจริงๆ

เพราะฉะนั้น จะต้องรู้เหตุว่า ทำไม? ถึงไม่สามารถ ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

แม้ว่า กำลังฟัง สัจจะ คือ ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นอย่างนี้

ก็เป็นเพราะเหตุว่า ความไม่รู้ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะชาตินี้ หรือ เมื่อกี้นี้

หรือ เมื่อเช้านี้ แต่....นานแสนนาน มาแล้ว

ที่ไม่สามารถจะรู้ ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ

แม้จะเห็น คนเกิด แล้วก็ต้องตาย ก็ยังไม่หวั่นไหว

ว่าวันหนึ่ง เราก็จะต้องเป็นอย่างนั้น

และวันหนึ่ง ก็ยังช้าไป

แม้เมื่อวานนี้ ก็หมดแล้ว แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า "ปัญญา" เป็นสิ่งซึ่ง ต้องอบรม จนมีกำลัง

พอที่จะละการเข้าใจผิด และ ยึดถือ สภาพธรรมะ ว่าเป็นตัวตน

เพราะเหตุว่า อวิชชา มาก แล้วก็ กิเลสอื่นๆ ก็มากด้วย

เพราะฉะนั้น ที่ไม่สามารถจะรู้ความจริง

เพราะเหตุว่า ความไม่ดีทั้งหลาย เกิดบ่อย เพราะ ความไม่รู้

เพราะไม่รู้ จึงติดข้อง ต้องการ สิ่งหนึ่ง สิ่งใด

และ เวลาที่ไม่ได้สิ่งนั้น ก็ขุ่นเคืองใจ

เป็นอย่างนี้ หรือเปล่า?

เมื่อวานนี้ วันนี้ และ ต่อๆ ไป

แสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่อกุศล ความไม่ดี ยังเกิดอยู่

ก็ย่อมสะสม ความไม่รู้ มากขึ้นๆ แล้วก็การปิดบัง

เพราะเหตุว่า มีความเข้าใจผิด ในสิ่งที่ปรากฏ โดยประการต่างๆ

จนกระทั่ง ไม่สามารถที่จะ เพียงฟัง แล้วปัญญา สามารถที่จะคมกล้า

อาจหาญ ที่จะสามารถ ละคลายการติดข้อง

แล้ว สภาพธรรมะ จึงจะปรากฏ ตามความเป็นจริงได้

เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะนี้ ที่แม้สภาพธรรมะ

ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง เป็นความจริง อย่างนี้

แต่ก็ไม่อาจที่จะประจักษ์ได้ ด้วยกุศลจิต

ด้วยเหตุนี้ อกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่บารมี

แล้วก็เป็นเครื่องกั้น

ที่ทำให้ ไม่สามารถเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ

ต่อเมื่อใด กุศลเกิดน้อยลง แล้วก็กุศล เกิดมากขึ้น

เมื่อนั้น กุศลก็จะเบาบาง และ กำลังของกุศล ก็มีมากพอ

ตั้งแต่เริ่มฟังธรรมะ เริ่มเข้าใจ เริ่มเห็นประโยชน์

เริ่มเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย

แล้วก็ เข้าใจ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมะ ที่กำลังมีอยู่

เพราะเหตุว่า ส่วนใหญ่ เราเรียนเรื่อง สิ่งที่มีจริง

ขณะนี้ เรียนเรื่อง "เห็น" เรื่อง "ได้ยิน"

แต่ว่า "เห็น" ก็ไม่ใช่เรา

เกิดแล้ว ดับแล้ว

กว่าจะคุ้นเคย กับ สภาพ "เห็น" จริงๆ ว่า "ไม่ใช่เรา"

ก็ไป "คิด" เรื่องเห็น

เห็นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? เห็นดับไปแล้ว ไม่ใช่เรา

ก็ "คิด" ยาว.....

ในขณะที่ "เห็น" ก็ (กำลัง) เกิดขึ้น และ ดับไป

เพราะฉะนั้น กว่าที่เราจะได้เข้าใจ "ตัวธรรมะ" จริงๆ

โดยที่ ไม่ต้องนึกถึง "ชื่อ"

เช่น ขณะนี้ "เห็น" เป็น "เห็น"

ไม่ต้องนึกถึงชื่อใดๆ เลย

แล้ว "เห็น" ก็ไม่ใช่ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น

เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ ที่มีความเข้าใจ ทั้งสองอย่าง แยกขาดชัดเจน

ว่า "เห็น" เป็นอย่างหนึ่ง แล้วก็ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" เป็นอีกอย่างหนึ่ง

แค่นี้ค่ะ ถูกต้องไหม?

คือ ฟังธรรมะแล้ว ต้องไตร่ตรอง

ถ้าเป็นความจริง ก็รู้ว่า ยังไม่ถึง การที่จะเข้าใจความชัดเจน ของสองอย่าง ซึ่งต่างกัน

อย่างหนึ่ง คือ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพียงปรากฏ ว่ามีจริงๆ ชั่วคราว

เมื่อมี "ธาตุรู้" ที่กำลังเห็น

แล้ว "ธาตุนั้น" ก็ดับไป

เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริงได้ ก็ต้องนาน

โดยการที่ เมื่อรู้ว่า สิ่งนี้ มีจริง

"รู้ได้" แต่ต้อง "อบรม"

อบรม ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เพื่อ "ละ" ความไม่รู้

ไม่ใช่ไป "ทำอย่างอื่น" เลย

แต่ว่า "ความไม่รู้" มี

จึงไม่สามารถ ที่จะเห็น การเกิดขึ้น และ ดับไป ของสภาพธรรมะ

แต่จะเห็นได้ ต่อเมื่อ มีความเข้าใจ เพิ่มขึ้น

ทีละเล็ก ทีละน้อย

โดยไม่หวัง ว่าวันไหน

เพราะ "เป็นผู้ตรง" จริงๆ ว่า "ความเข้าใจ" แค่นี้ ยังไม่พอ

ยังต้องฟัง ต่อไปอีก ฟังต่อไปอีก เป็นปรกติ ธรรมดา

ไม่ใช่ว่า ต้องไปเปลี่ยน

ไม่ใช่ว่า พอฟังวันนี้ แล้วจะ "พยายามรู้"

ว่า กำลังเห็นนี้ ไม่ใช่เรา

ไม่ทำอะไรเลย ทั้งหมด

นั่นไม่ถูกต้อง

เพราะเหตุว่า มีตัวเรา นั่นเอง ที่กำลังคิดอย่างนั้น

และ กำลัง "ทำ" อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจว่า ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้น ชั่วคราว

แล้วก็ค่อยๆ คลายการยึดถือ

ต้องอาศัย ความเข้าใจ จริงๆ

แล้วก็ ไม่ต้องห่วง ว่าเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มากขึ้น จะไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ

เพราะเหตุว่า ที่จะรู้นั้น เป็น "ปัญญา" ความเข้าใจถูก

ที่เริ่มต้น ตั้งแต่ "การฟัง"

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บุคคลได้มีกาละอันเลิศ ประเสริฐที่สุด ครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์

ที่ได้มีโอกาสเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ จากการตรัสรู้

ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง พระองค์นั้น

ซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุด ไม่มีสิ่งใด จะจริงยิ่งไปกว่า

เป็นความเข้าใจ ที่จะสะสมไป สะสมไป สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์

ในความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในธรรมะ อันจะเป็นที่พึ่งยอดเยี่ยมแก่บุคคลนั้นเอง

สำหรับการเดินทางอันยาวไกล ในสังสารวัฏฏ์ เพื่อถึงกาลที่จะสิ้นสุดได้ในวันหนึ่ง

ด้วยความอดทน ด้วยความเพียร ที่จะฟังแล้ว ฟังอีก บ่อยๆ เนือง

กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพ

พันตำรวจเอกปรัชญ์ชัย และ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ


[เล่มที่ 31] [เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ -หน้าที่ ๔๐๒ เจริญธรรม ๔ ประการเพื่อมีปัญญาชําแรกกิเลส

๑๓. นิพเพธิกปัญญสูตร

[๑๖๕๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทําให้มากแล้ว ย่อมเป็น ไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญา เป็นเครื่องชําแรกกิเลส ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ

การคบสัตบุรุษ ๑. การฟังสัทธรรม ๑ การกระทําไว้ในใจโดยแยบคาย ๑ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล อันบุคคล เจริญแล้ว กระทําให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความ เป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องชําแรกกิเลส. จบนิพเพธิกปัญญสูตรที่ ๑๓

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ถ้าปราศจากคุณความดีที่จะทำให้รู้ความจริง

จะรู้ความจริง ไม่ได้เลย

......................

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพันตำรวจเอกปรัชญ์ชัย และ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ และครอบครัว ในการเป็นเจ้าภาพจัดการสนทนาธรรมะครั้งนี้

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตการถ่ายทอดธรรมะและบรรยากาศการสนทนาธรรม ของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ควรรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะทำมาหากินอะไร

ใครจะคิดอะไร ห้ามได้ไหม ยับยั้งได้ไหม มีเหตุปัจจัยเกิดแล้วทำให้คนนี้คิดอย่างนี้

คนนั้นคิดอย่างนั้น แต่ทุกคนรู้จักโลภะของตัวเองตามความเป็นจริงก่อน

ตามความเป็นจริง คือ รู้ว่าโลภะไม่ใช่เรา โลภะมีจริงๆ เป็นธรรมครับ"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ

พันตำรวจเอกปรัชญ์ชัย และ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ และครอบครัว ในการเป็นเจ้าภาพจัดการสนทนาธรรมะครั้งนี้


ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตการถ่ายทอดธรรมะและบรรยากาศการสนทนาธรรม ของคุณพี่วันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เข้าใจ
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

..เป็นลาภอันประเสริฐ ที่ได้มีโอกาสได้เข้าใจธรรมะ..

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ พ.ต.อ. ปรัชญ์ชัย และ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pavee
วันที่ 12 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สุภัทรา
วันที่ 12 ก.พ. 2556

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง และขอกราบ

อนุโมทนาอาจารย์ผู้ร่วมการสนทนาในครั้งนั้นทุกท่าน ซึ่งเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทาง

ครอบครัวได้มีโอกาสต้อนรับคณะทุกท่านในการร่วมสนทนาวันนั้น ถ้าขาดตกบกพร่อง

ประการขออภัยมา ณ ที่นี้ ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 12 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Boonyavee
วันที่ 12 ก.พ. 2556

ขอกราบขอบพรระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kinder
วันที่ 12 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
rrebs10576
วันที่ 12 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ผิน
วันที่ 13 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Noparat
วันที่ 13 ก.พ. 2556

"อะไรประเสริฐสุด?

ถึงแม้จะมีความรู้มาก เป็นศาสตราจารย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี

หรือ เป็นอะไรก็ตาม สูงที่สุด แต่เป็นคนชั่ว

หรือว่า มีปริญญามากมาย หลายมหาวิทยาลัย แต่เป็นคนชั่ว

กับ การที่จะเป็นคนดี แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่า ชีวิตนี้ สั้นมาก

ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย

ว่าจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เมื่อไหร่?

แต่ว่า เคยคิดไหม? ว่าก่อนจะเวลานี้ ดี หรือ ชั่ว แค่ไหน?

แล้วก็ ได้เข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งเป็นโอกาสที่ยากมาก

ถ้าไม่มีความศรัทธา ที่จะรู้ว่า

ประโยชน์สูงสุด ในชีวิต ซึ่งแสนสั้น

สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ได้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง

แม้ว่าจะเข้าใจยาก"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ พ.ต.อ. ปรัชญ์ชัย และ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
sutha
วันที่ 13 ก.พ. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
nong
วันที่ 13 ก.พ. 2556

...สิ่งอื่น ไม่มีค่า เท่ากับ ความเข้าใจธรรมะ...

กราบท่านอาจารย์และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
natre
วันที่ 14 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
Jans
วันที่ 17 ก.พ. 2556

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ พ.ต.อ. ปรัชญ์ชัย และ คุณสุภัทรา ใจชาญสุขกิจ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ