ผู้เคยทำผิด

 
ผู้ผ่านทาง
วันที่  18 ก.พ. 2556
หมายเลข  22503
อ่าน  1,179

เมื่อเป็นผู้เคยทำผิดด้วย ศึกษาธรรมด้วย นามธรรมที่มักเกิดให้รู้ได้ คือ ความกังวลจากความผิดนั้น มักเกิดความกลัวว่าจะต้องชดใช้อย่างสาหัสในนรกหรืออื่นๆ เมื่อระลึกได้ก็ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นนามธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นโทสะ ความตั้งใจที่จะไม่ทำผิดก็เกิดขึ้นเองเป็นนามธรรมอีก ก็แสวงหาแนวทางเพื่อไม่ทำผิด การกระทำอย่างนี้ทำถูกต้องหรือเปล่าครับ ถ้าจะใช้เรื่องความอดทนและปัญญาของพระองคุลีมาลไว้เป็นเครื่องเตือนสติจะได้ไหมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลสอยู่ ก็ย่อมมีโอกาสที่จะกระทำผิด ที่เป็นอกุศลกรรมประเภทต่างๆ เป็นไปตามกิเลสด้วยกันทั้งนั้น และ เป็นธรรมดาอีก ที่เมื่อกระทำผิดลงไปแล้ว ก็ยังมีเหตุที่จะทำให้เกิดอกุศลตามมาอีกมากมาย มีความเดือดร้อนใจ ที่ได้พลาดกระทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป เป็นธรรมที่่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สำคัญอยู่ที่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้เห็นโทษของอกุศลกรรรม เห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดีมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย การที่จะเห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริงก็ย่อมจะมีไม่ได้ แต่เพราะยังมีกิเลสอยู่ ยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่มาก ก็จะต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ

เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ขณะนี้ เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะได้สะสมเหตุใหม่ที่ดี ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา และน้อมประพฤติเฉพาะในสิ่งที่ถูกที่ควรเท่านั้น เมื่อเห็นว่าสิ่งใดที่ไม่ดี (หรือที่เคยกระทำไม่ดีลงไปแล้ว) ก็ไม่ทำผิดอย่างนั้นอีก หนทางที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ ดับความเดือดร้อนใจ วุ่นวายใจ และกิเลสทั้งหลายทั้งปวง คือ การอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น ซึ่งจะต้องมีความอดทน จริงใจ ที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป

ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกุลที่ดี เป็นเครื่องนำทางชีวิตจากที่เคยมากมายไปด้วยกิเลส มากมายไปด้วยการกระทำที่ผิด ไม่ดีมากมาย เป็นค่อยๆ ดียิ่งขึ้น คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะหนทางของปัญญา เป็นเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมเท่านั้นจริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก แม้แต่เรื่องการเจริญอบรมปัญญา ก็จะต้องมีความเข้าใจถูกเป็นสำคัญเบื้องต้น แม้แต่หนทางการละกิเลส เพราะในความเป็นจริง ไม่มีเรา ไม่มีใคร มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ทำหน้าที่ของสภาพธรรมในแต่ละขณะ ในขณะนี้ ดังนั้น อกุศลเกิดขึ้น เป็นของธรรมดาสำหรับปุถุชน การจะละอกุศลก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยตามลำดับ ซึ่งการละอกุศลก็มีหลายๆ นัย ทั้งที่เป็นหนทางการดับกิเลสที่แท้จริง และ ไม่ใช่หนทางดับกิเลส แต่อกุศลก็ค่อยๆ ละได้ในขณะจิตนั้น ซึ่งอกุศลที่เกิดขึ้น และ พิจารณาโดยปัญญาขั้นการฟัง จากการเห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ก็สามารถเกิดกุศลจิตได้ ก็เป็นการละกิเลสด้วยปัญญาขั้นการฟัง ด้วยการคิด พิจารณาตามพระธรรมที่ได้ฟังมา แต่ ไม่ใช่การละกิเลส ด้วยหนทางที่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่การรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ครับ

แต่การละกิเลสด้วยกุศลจิตที่เกิดจากการฟังพระธรรม พิจารณาตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เช่น คิดพิจารณาเรื่องพระองคุลิมาลที่ท่านเคยทำผิด แต่ภายหลังไม่ประมาท ก็สามารถเปลี่ยนไปสู่ความประพฤติถูกได้ ทำให้เกิดกุศลจิต ที่ละอกุศลที่เกิดชั่วขณะ ในขณะที่คิดนึกนั้น ก็ย่อมเป็นประโยชน์ แต่จะต้องเข้าใจถูกว่า ประโยชน์ ความถูกต้องนี้ เป็นความถูกต้อง ประโยชน์ที่ไม่ใช่หนทางการดับกิเลส เพราะเป็นเพียงความคิดนึกเป็นเรื่องราว แม้แต่การคิดว่าเป็นแต่เพียงนาม ธรรม บังคับไม่ได้ ก็เป็นเพียงปัญญาขั้นคิดนึก นึกถึงสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว หน ทางที่ถูก ดูเหมือนสบายๆ ปล่อยไปตามสบาย คือ การเข้าใจในสิ่งที่เกิดแล้ว แม้แต่อกุศลเกิดขึ้น บาปที่ทำก็เป็นธรรมดา และ เข้าใจว่าไม่มีเราที่ทำบาป ดูเหมือนไม่ได้เห็นโทษของกิเลส แต่การเห็นโทษของกิเลสจริงๆ นั้น ไม่ใช่เพียงเพราะกลัวผลของกรรมจึงไม่ทำบาป เพราะหากไม่รู้ไม่เห็นผลของกรรมจริงๆ ก็ยังจะต้องทำบาปต่อไป แต่การเห็นโทษของกิเลสที่ถูกต้อง คือ เห็นโทษในความไม่รู้ในขณะนั้น ขณะที่ทำบาป ขณะที่เดือดร้อนกับอกุศล ขณะที่ไม่อยากได้รับผล ขณะนั้นกำลังไม่รู้ความจริง จึงเห็นโทษของความไม่รู้ และ ค่อยๆ รู้ขึ้นว่าเป็นแต่เพียงธรรม นี่คือการเห็นโทษของกิเลส และ เป็นหนทางการดับกิเลสได้ในที่สุด

แต่ พื้นฐานสำคัญที่สุด จะต้องไม่ลืมคำว่า อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีใคร ไม่มีเรา ที่จะพยายามให้คิดถูก และ ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่จะพยายามอย่างไร ทำอย่างไรให้ถูก เป็นระบบ ระเบียบ เพราะสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น และขณะ ไม่ได้เป็นระบบ ระเบียบ และ ไม่รู้ล่วงหน้าได้เลย เกิดตามเหตุปัจจัย ดังนั้น การละกิเลส ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา ว่า เมื่อกิเลสเกิดขึ้น จะคิดนึกอย่างไร จะละกิเลสได้ไหม เพราะ เป็นไปตามกำลังปัญญา ดังนั้น สภาพธรรมที่จะปรุงแต่ง ให้เข้าใจถูก ในสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ปัญญา แต่ ความเห็นถูก ที่จะเกิดหรือไม่เกิดก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ซึ่งก็เพียงทำหน้าที่ฟังพระธรรม สะสมปัญญาไปเรื่อยๆ ความคิดถูก จะเกิดขึ้น จนถึงสติปัฏฐานเกิด รู้ความจริงในตัวลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนั้น อันจะเป็นหนทางที่ถูกในการดับกิเลสจริงๆ ครับ

ไม่เดือดร้อนกับหนทางที่เดิน หากเริ่มจากความเห็นถูกในขั้นการฟัง ว่าเป็นอนัตตา และ เป็นธรรมที่ทำหน้าที่ อบรมเหตุด้วยการฟังพระธรรมต่อไป ย่อมถึงจุดหมายได้ในที่สุด ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ผ่านทาง
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 23 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ค่อยๆศึกษา
วันที่ 20 ส.ค. 2564

อนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ