การปฏิบัติธรรม ทำได้ทุกที่ แล้ว ไปทำในผับ-บาร์ ได้ไหม

 
ไก่บ้าน
วันที่  19 ก.พ. 2556
หมายเลข  22514
อ่าน  1,844

เห็นมีคนแย้งว่า การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องปลีกวิเวก เข้าป่า เข้าพง ปฎิบัติธรรมในเมือง ในที่ชุมชนหนาแน่น ก็ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในที่สงบเงียบ แบบนี้เราก็ไปทำในผับ ในบาร์ ห้างสรรพสินค้าได้ทั้งนั้นเลยสิครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การบรรลุธรรม คือ การบรรลุ รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นสภาพธรรมที่ทำให้บรรลุธรรมได้ ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ปัญญาสามารถเกิดได้ โดยไม่เลือกสถานที่ ว่าจะต้องเป็นในป่า หรือ ในเมือง เพราะในความเป็นจริง ทั้งในป่า และในเมือง ไม่มีความแตกต่างกันเลย เพราะก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังมี เห็นก็มี ได้ยินก็มี ได้กลิ่นก็มี ลิ้มรสก็มี คิดนึกก็มี ไม่ว่าจะในป่า ในเมือง ล้วนแล้วแต่มีสภาพธรรม ที่ปัญญาจะต้องรู้ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ปัญญาที่จะถึงการบรรลุธรรม คือ จะต้องมีการปฏิบัติธรรม อะไรไปปฏิบัติ ปัญญานั่นเองที่ปฏิบัติหน้าที่รู้ความจริง ปัญญารู้อะไรก็รู้สภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฎว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ในป่า หรือ ในเมือง ก็ไม่ต่างกัน ตรงที่ต่างก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฎให้รู้ หากแต่ว่า หากอยู่ป่า แต่ไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะการบรรลุธรรมไม่ใช่อยู่ที่สถานที่เงียบสงัด เพราะใจไม่สงัดจากอกุศลเลย แม้อยู่ในที่เงียบแต่ใจก็หวั่นไหวไปแล้วในอกุศลที่เกิดขึ้น คิดถึงเพื่อน คิดถึงญาติ คิดเรื่องอื่นๆ ได้แม้อยู่ในป่า เพราะฉะนั้นอกุศล ก็เกิดได้แม้อยู่ในป่า ดังนั้น หากขาดปัญญาเสียแล้ว อยู่ที่ไหน อย่างไร ก็ไม่สามารถบรรลุธรรม เพราะเราไม่เข้าใจว่า ปัญญานั้นจะต้องรู้อะไร คือ จะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ซึ่งก็มีอยู่ แม้อยู่ในป่าและในเมือง ครับ แต่หากมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าอยู่ในที่ใด ปัญญาก็สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎได้ในชีวิตประจำวัน เพราะในเมือง ก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฎทางตา..ใจ ในป่า ก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฎทางตา..ใจ ขาดแต่เพียงปัญญาเท่านั้นที่จะไปรู้ และปัญญาจะเกิดเจริญได้อย่างไร หากไม่ใช่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ เพราะหากไม่มีความเข้าใจ ไม่มีปัญญาแล้ว จะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ด้วยความไม่รู้ ครับ

ในสมัยพุทธกาล ที่มีการหลีกเร้นออกจากบ้านไปสู่ป่าของพระภิกษุ เราจะต้องเข้าใจครับว่า ผู้ที่อัธยาศัยหลีกเร้นก็ส่วนหนึ่ง แต่การหลีกเร้นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่ทางหลุดพ้น คือ การเจริญวิปัสสนา ซึ่งผู้ที่หลีกเร้น เพราะมีอัธยาศัยในการเจริญสมถภาวนา เพราะเห็นโทษของกิเลสในชีวิตประจำวัน ต้องการที่จะเจริญความสงบจากกิเลสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเจริญสมถภาวนา ปฏิปักษ์ ข้าศึกศัตรู คือ ความไม่เงียบ มีเสียงดัง ดังนั้น การหลีกเร้นไปสู่ป่า จึงเป็นสิ่งที่สมควร ในการที่จะเจริญสมถภาวนา เพื่อให้ได้ฌาน

จะเห็นนะครับว่า เมื่อเราอ่านพระสูตร ศึกษาพระธรรม จะต้องละเอียดว่า การหลีกเร้น ไปสู่ป่า เพื่ออะไร ไม่ใช่เพราะการจะเจริญวิปัสสนาจะต้องไปสู่ป่า แต่การเจริญสมถภาวนาต่างหากครับที่จะต้องไปสู่ป่า และการเจริญสมถภาวนา ไม่สามารถละ ดับกิเลสได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดง สติปัฏฐาน หรือ การเจริญวิปัสสนา เป็นหนทางดับกิเลส บรรลุธรรม ครับ

ส่วนประเด็นเรื่องการไปห้าง ไปผับ ก็เจริญสติปัฏฐานได้ ก็ไปได้ ซึ่งการเจริญสติปัฏฐาน ความหมาย คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฎในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน คือ ไปแล้วสู่สถานที่นั้น ถ้าปัญญาถึงพร้อม สติก็สามารถเกิดได้ ดังนั้น ไม่มีใครบังคับใครได้ ว่าจะไป หรือ ไม่ไป ถึงเวลาต้องไปก็ต้องไป เพราะธรรมจัดสรรให้ไปแต่ถ้าปัญญาถึงพร้อม ปัญญาก็สามารถเกิดในขณะที่อยู่ในสถานที่เหล่านั้นได้ เพราะสถานที่เหล่านั้นก็ไม่ปราศจากธรรม แต่ จะเกิดกับบุคคลที่ปัญญามีกำลัง ครับ

ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เมื่อยังเป็นปุถุชน แสวงหาหนทางดับทุกข์ กำลังดูมหรสพอยู่ ก็เกิดปัญญาคิดได้ว่า แม้คนที่เล่นก็ต้องตาย แม้เราก็ต้องตาย ไม่ควรประมาท นี่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาสามารถเกิดได้ไม่ว่าสถานที่ไหน หากปัญญาถึงพร้อมในขณะนั้น ครับ อุคคเสน ผู้แสดงกายกรรม กำลังแสดงกายกรรมให้พระพุทธเจ้า และหมู่มหาชนดูอยู่ ขณะที่ยืนอยู่บนไม้นั่นแหละ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้เขาฟัง สติและปัญญาเกิดในขณะนั้น เพราะขณะที่แสดงกาย กรรม ก็มีสภาพธรรม เห็น ได้ยิน คิดนึก สี เสียง ให้รู้ได้ เมื่อปัญญาถึงพร้อม ท่านก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะที่ยืนอยู่บนไม้ ครับ

การไม่คบคนพาล และ การไปในสิ่งที่ไม่สมควรย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ความหมายของสติปัฏฐาน คือ ไปแล้วแม้ที่นั้น (ไม่สมควร) สติก็สามารถระลึกได้ เพราะเราไปสู่ที่นั้นแล้ว มีเหตุปัจจัยที่ไปสู่ที่นั้น แม้ที่อันไม่สมควรก็มีธรรม และ ธรรม (ปรมัตถ) ที่มีในขณะนั้น ก็เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้ครับ ไม่ได้หมายความว่าสนับสนุนให้ไปที่นั้น แต่มีเหตุปัจจัยให้ไปที่นั้น สติก็สามารถระลึกได้ครับ (สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง) ดังเช่น พระสุนทรสมุทรเถระที่ไปบนปราสาทของหญิงแพศยา ท่านไปแล้วสู่ที่นั้น ท่านก็เจริญสติปัฏฐาน ปัญญาท่านก็เกิด บรรลุธรรมในที่นั้นครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ

ถ้าเข้าป่าเข้าพง ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ เป็นการปฏิบัติด้วยความเห็นผิด นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง มีแต่จะเพิ่มกิเลสที่เป็นดุจป่า มีมิจฉาทิฏฐิ เป็นต้น ให้หนาแน่นขึ้น ทำให้หลงทาง หาทาง ออกได้ยาก และ ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องความเข้าใจ

สิ่งที่เป็นที่ตั้งให้สติปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริง ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นการระลึกรู้สภาพธรรม กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง โดยไม่ได้ไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมา ไม่ต้องเข้าไปป่าก็สามารถรู้ความจริงในขณะนี้ได้ แม้อยู่ในห้างสรรพสินค้า อยู่ในผับ สติปัฏฐานก็สามารถเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ถ้ามีเหตุให้เกิด ซึ่งจะต้องมีพื้นมาจากการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ

สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจแล้ว จะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน เพราะเป็นไปกับด้วยความไม่รู้ ทุกขณะของชีวิตเป็นธรรม มีสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องเป็นแสวงหาธรรมที่ไหน แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ไปทำอะไรด้วยความเห็นผิด ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาเลย ดูเหมือนว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะเรื่องของปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องของความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่เรื่องไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมา

พระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ล้วนเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรมทั้งนั้น จึงมีการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามกำลังปัญญาของตนเอง เพราะฉะนั้นหนทางที่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จะขาดการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไม่ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ก็ไม่สามารถดำเนินไปถึงซึ่งการดับกิเลสได้เลย ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม คือ เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง และสิ่งที่จะสามารถศึกษาและเข้าใจได้ ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ ที่มีจริงอยู่ทุกขณะ ซึ่งจะต้องเริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้จริงๆ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ถ้าเข้าใจธรรม ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ สำคัญที่ปัญญาเกิดหรือเปล่า ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 20 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
panya13
วันที่ 20 ก.พ. 2556
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 20 ก.พ. 2556

"ถ้าเข้าป่าเข้าพง ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ เป็นการปฏิบัติด้วยความเห็นผิด นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง มีแต่จะเพิ่มกิเลส ที่เป็นดุจป่ามีมิจฉาทิฏฐิ เป็นต้น ให้หนาแน่นขึ้น ทำให้หลงทาง หาทางออกได้ยาก และ ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องความเข้าใจ"


ตรงประเด็นมากๆ ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิม อาจารย์คำปั่น และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 20 ก.พ. 2556

ในพระไตรปิฎกมักกล่าวถึงสถานที่ที่เป็นสัปปายะ ทำให้อาจเข้าใจผิดว่าการเจริญสติปัฏฐานต้องเลือกสถานที่ แต่สถานที่สัปปายะหมายถึง ไม่ว่าอยู่สถานที่ใด ถ้าสติและปัญญาเกิด (สติปัฏฐาน) ที่ๆ นั้นเองก็เป็นสัปปายะของบุคคลนั้นเพราะกุศลเกิด (กุศลขั้นสติปัฏฐาน)

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kulwilai
วันที่ 20 ก.พ. 2556

ปัญญาเป็นความเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้จักธรรมที่มีในขณะนี้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะ"สิ่งที่มีจริงและกำลังปรากฎในขณะนี้"เป็น"ธรรม" รู้ตรงลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฎ ทีละหนึ่ง แต่ละทาง ขณะนี้เอง เห็นเป็นเห็น เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฎทางตา เห็นไม่ใช่คิด เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นไม่ใช่เรา เมื่อไม่พ้น จากธรรม ธรรมจึงไม่ต้องแสวงหา แท้จริงแล้วมีแต่ธรรม ชั่วขณะที่ธรรมกำลังปรากฎ เป็นผู้หลีกจากหมู่ จากเรื่องราวที่คิดว่ามีผู้คนมากมาย ด้วยสติพร้อมปัญญาที่ระลึกรู้ ตรงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ไก่บ้าน
วันที่ 23 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ