สังขาร อภิสังขาร

 
เมตตา
วันที่  28 ก.พ. 2556
หมายเลข  22549
อ่าน  2,575

สังขารธรรมและอภิสังขารธรรม ไม่ใช่เพียงชื่อที่อยู่ในพระไตรปิฎก แต่คือความจริงขณะนี้ สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้เพราะมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิด ได้แก่ จิตทั้งหมด เจตสิก ๕๒ และรูป ๒๘ จิตเห็น จิตได้ยิน...และจิตคิดนึก จิตเห็นเกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่ได้ ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ หลายปัจจัย เช่น จิตเห็นเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ประเภท ได้แก่ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ และมนสิการ เกิดพร้อม ดับพร้อม มีอารมณ์เดียวกัน และ มีที่เกิดเดียวกัน เป็นปัจจัยโดยความเป็นสัมปยุตตปัจจัยซึ่งกันและกัน จิตเห็นเป็นวิปากจิต เป็นผลของกรรม เจตนาที่เกิดร่วมด้วยจึงเป็นสังขารขันธ์ ไม่ใช่อภิสังขาร เพราะว่าเจตนาที่เป็นอภิสังขารนั้นต้องเป็นเจตนาที่เกิดกับกุศลและอกุศลกรรมเท่านั้นที่จะให้ผลนำเกิดในภพภูมิต่างๆ และเมื่อเกิดมาแล้วก็ยังต้องได้รับผลของกรรมอีก คือ ต้องเห็น ต้องได้ยิน...ต้องกระทบสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจ หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แล้วแต่ว่าเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม

เจตนาที่เกิดขึ้น เมื่อยังไม่ใช่ขณะที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม ก็เป็นเพียงสังขารธรรม สำหรับเจตนาที่เกิดกับกุศลกรรมและอกุศลกรรมซึ่งปรุงแต่งอย่างยิ่งที่จะให้เกิดผลนำเกิดในภพต่างๆ เจตนานั้นจึงเป็นอภิสังขาร ทั้งสังขารและอภิสังขารก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แม้เจตนาเล็กๆ น้อยๆ ที่จะกระทำอกุศลก็ไม่ควรประมาท เมื่อสะสมทีละน้อยๆ สักวันหนึ่งย่อมกระทำอกุศลกรรมบถได้ที่จะให้ผลนำเกิดในอบายภูมิ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สังขารธรรม คือ สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นและดับไป ซึ่ง ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ซึ่งไม่ไกลตัวเลย คือ ขณะนี้ที่กำลังเกิด กำลังปรากฎ เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึก มีสภาพธรรมเหล่านี้ได้ เพราะมีการเกิดขึ้น สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นจะต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่ง ที่เรียกว่า สังขารธรรม เพราะ มีปัจจัยปรุงแต่ง อะไรที่ปรุงแต่ง คือ จิตเกิดขึ้น ก็จะต้องมีเจตสิกเกิดขึ้น เจตสิกปรุงแต่งให้จิตเกิดขึ้น และ เจตสิกก็อาศัยจิต จึงเกิดขึ้น ส่วนรูป เช่น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยรูปอื่นๆ ปรุงแต่งให้เกิดขึ้น รูปจึงเป็นสังขารธรรม เช่นกัน

ส่วน อภิสังขารธรรม ละเอียดลงกว่านั้น อภิ แปลว่าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น อภิสังขารธรรม หมายถึง สภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ก็คือ เจตนาเจตสิก ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังขารธรรม อภิสังขารธรรมที่เป็นเจตนาเจตสิก ปรุงแต่งอย่างยิ่ง คือ ปรุงแต่งให้เกิดภพ เกิดชาติ มีการเกิดร่ำไป ครับ

ขออนุโมทนาพี่เมตตา ที่นำธรรมดีๆ มาให้อ่านกัน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
นิรมิต
วันที่ 28 ก.พ. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 28 ก.พ. 2556

ได้ฟังการบรรยายของท่านอาจารย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ก.พ.56..เข้าใจว่าคำว่าอภิสังขารหมายถึงเจตนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับกุศลและอกุศลจิตที่ล่วงออกมาเป็นกรรม..หมายความว่าเจตนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับกุศลหรืออกุศลจิตหากไม่ล่วงออกมาเป็นกรรมไม่ใช่อภิสังขาร...โปรดขยายความด้วยคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 28 ก.พ. 2556

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

สภาพธรรมที่ชื่อ อภิสังขาร คือ สภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้เกิดวิบากด้วย คือเกิดนามธรรมที่เป็นผลของกรรม และทำให้เกิดรูป ดังนั้น อภิสังขาร จึงหมายถึงเจตนาเจตสิกที่เกิดกับกุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่ทำให้เกิดวิบาก คือ จะต้องเป็นเจตนาเจตสิกที่เกิดกับกุศลกรรมอกุศลกรรมที่ครบกรรมบถ ที่จะทำให้เกิดผล แต่ ถ้าเป็นเจตนาเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิตหรืออกุศลจิตแต่ไม่ถึงกรรมบถ ไม่ชื่อว่าเป็นอภิสังขาร ที่เป็นสังขารที่ทำให้เกิดผล คือ วิบาก เช่น เกิดโทสะในใจ แต่ไม่ได้ล่วงออกมาทางกาย วาจา มีการฆ่า การด่า เป็นต้น ก็ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ ไม่ก่อให้เกิดวิบาก เกิดผล จึงไม่เป็นอภิสังขารที่เป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่งอันทำให้เกิดวิบาก ครับ แต่ถ้าเป็นกรรมที่เป็นกุศลกรรมบถ และ อกุศลกรรมบถ เช่น ฆ่าสัตว์ เป็นต้น เจตนาเจตสิกที่เกิดกับกรรมที่เป็นกรรมบถ เป็น อภิสังขาร เพราะ เกิดผล วิบาก ครับ

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 467

ที่ชื่อว่า อภิสังขาร เพราะอรรถว่า ย่อมปรุงแต่งวิบาก และกฏัตตารูป.

อภิสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่ง) คือ บุญ ชื่อว่า ปุญญาภิสังขาร. สภาพที่ชื่อว่า อปุญฺโญ (อบุญ) เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ. อภิสังขารคืออบุญ ชื่อว่า อปุญญาภิสังขาร. ที่ชื่อว่าอาเนญชะ เพราะอรรถว่า ย่อมไม่หวั่นไหว. ที่ชื่อว่า อาเนญชาภิสังขารเพราะอรรถว่า อภิสังขารคืออาเนญชะ (ความไม่หวั่นไหว) และสภาพที่ปรุงแต่งภพอันไม่หวั่นไหว. ที่ชื่อว่า กายสังขาร เพราะอรรถว่า เป็นสังขาร (การปรุงแต่ง) อันกายให้เป็นไป หรือเพราะกาย หรือเป็นไปแก่กาย แม้ในวจีสังขารและจิตสังขาร ก็นัยนี้เหมือนกัน.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 28 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 28 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมละเอียดลึกซึ้งมาก จะประมาทในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังแต่ละคำไม่ได้เลย เพราะแต่ละคำ เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ทุกคำเพื่อเข้าใจสภาพธรรมมีมีจริงในขณะนี้จริงๆ แม้แต่ สังขารกับอภิสังขาร ก็แสดงให้เข้าใจถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ โดยที่สังขารกว้างมาก ครอบคลุมสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด แต่สภาพธรรมที่เป็นอภิสังขาร กล่าวคือ เป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง ก็เฉพาะเจตนาที่สำเร็จเป็นกุศลกรรมบถกับอกุศลกรรมบถ เท่านั้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดวิบากในภายหน้า ตามความเป็นจริงแล้ว เจตนาเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่มีเว้น ถ้ากล่าวโดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจตนาที่เกิดกับจิตประเภทใด มีกำลังสำเร็จเป็นกุศลกรรมบถหรืออกุศลบถ หรือไม่มีกำลังที่จะสำเร็จเป็นกุศลกรรมบถหรืออกุศลกรรมบถก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากความเป็นสังขาร (สังขาร-ธรรม) เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา อ.ผเดิม พี่จรรยาและทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 1 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nopwong
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 25 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Sea
วันที่ 16 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ