อะไรที่คนชั่วทำไม่ได้

 
ไก่บ้าน
วันที่  1 มี.ค. 2556
หมายเลข  22559
อ่าน  2,234

ไหว้พระ คนชั่วก็ไหว้ได้ บริจาคทาน คนชั่วก็บริจาคได้ มีเงินซะอย่าง สวดมนต์ คนชั่วก็สวดได้ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ แม้เข้าวัดปฎิบัติธรรม ก็ได้ อย่างพระเทวทัตและสาวก แล้วอะไรที่คนชั่วทำไม่ได้บ้าง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่ในเรื่องความดี ความชั่ว คนดี คนชั่ว ในความเป็นจริง ที่สมมติว่า คนดี ก็คือ ขณะที่ความดีเกิดขึ้น ที่เป็นกุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะที่เป็นคนชั่ว คนพาล คือ ขณะที่อกุศลธรรม อกุศลจิตเกิดขึ้น ดังนั้น สิ่งที่มีจริงก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ซึ่ง ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนโดยมาก อะไรเกิดมาก คือ อกุศลจิตเกิดมากกุศลจิตเกิดน้อย ดังนั้น ปุถุชน ผู้ที่หนาด้วยกิเลสทั้งหลายที่สะสมมามาก ก็มีปัจจัยให้เป็นคนชั่วได้มาก อกุศลเกิดได้บ่อยเป็นธรรมดา แต่ในความเป็นจริงของชีวิต ก็ไม่ใช่มีแต่อกุศลอย่างเดียว ก็จะต้องมีกุศลเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา ดังนั้น ก็จะต้องมีขณะที่ความดีเกิดขึ้นได้ แต่น้อยและไม่มากเลยเพราะฉะนั้น หากจะนึกถึงคนชั่ว คนพาล ก็คงไม่ไกลเกิน ก็ผู้ที่ยังเป็นปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส ที่เป็นตัวเราเองที่เกิดอุกศลจิตได้บ่อย แต่ว่าปุถุชน ก็ยังแบ่งเป็น อีก 2 ประเภท คือ

1. กัลยาณปุถุชน

2. อันธพาลปุถุชน

ผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชน คือ ปุถุชนผู้ที่หนาด้วยกิเลส แต่ก็สะสมปัญญา คุณความดีมาด้วย แม้จะเกิดอกุศลมาก เป็นพาลมาก เป็นคนชั่วมากในชีวิตประจำวัน แต่ก็ยังมีโอกาสของการเกิดขึ้นของกุศลธรรม ความดี สนใจธรรม ศึกษาธรรม ให้ทาน รักษาศีล อบรมปัญญา แต่ก็น้อยมาก แต่ถึงน้อย แต่ก็ค่อยๆ สะสมไป ค่อยๆ ละความชั่วไป แต่ละขณะ จึงกล่าวได้ว่า แม้จะเป็นคนไม่ดีอยู่มาก สำหรับกัลยาณปุถุชน แต่ก็ยังมีความดีเกิดขึ้นได้ ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา และ ถึงการดับกิเลส บรรลุธรรม พ้นจากความชั่ว คนชั่ว ได้จริงๆ ตามลำดับ เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ

ผู้ที่เป็นอันธพาลปุถุชน คือ ปุถุชนผู้มืดบอด คือ เป็นผู้ที่มากด้วยอกุศลเช่นกัน แต่ไม่ได้สะสมปัญญามา ไม่ได้สนใจที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม แม้จะได้ยิน ได้ฟัง แต่การดูภายนอก ก็ไม่ได้ตัดสินว่า การที่บุคคลนั้นฟังพระธรรม จะสนใจพระธรรม เกิดกุศล เกิดปัญญา เพราะฉะนั้น แม้ฟังก็ไม่สนใจ ไม่เกิดปัญญา จึงเป็นอันธพาล คือ มืดบอด ไม่สามารถที่จะถึงการบรรลุธรรมได้ และ ดับกิเลส พ้นจากความเป็นคนชั่วได้จริงๆ

ส่วนพระเทวทัต เราคงมองท่านด้านเดียว คือ ทำบาป ทำอกุศลต่างๆ มากมาย เป็นคนชั่ว แต่ในความเป็นจริง ท่านพระเทวทัตก็สะสมความดี สะสมปัญญามาเช่นกันเพียงแต่ว่า เพราะ อาศัยความเป็นปุถุชน ทำให้กิเลสที่สะสมมา มีกำลังทำให้ทำบาปต่างๆ มากมายได้ แต่ในวาระสุดท้ายของท่าน ก็ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า เกิดกุศลจิตได้ ขณะนั้น ท่านก็ไม่ใช่คนชั่วขณะที่ความดีเกิด และในอนาคตกาล ท่านก็จะบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นี่แสดงว่า ท่านก็สะสมความดี สะสมความเป็นคนดีมาก่อน จึงได้บรรลุธรรมในอนาคต ครับ

ดังนั้น คนชั่วที่เป็นอันธพาลปุถุชน ก็เกิดกุศลจิตได้ ทั้ง ทาน ศีลได้ แต่ไม่สามารถอบรมปัญญาได้ แม้ไดยินพระธรรมก็ไม่สนใจ เช่น พวกที่มีความเห็นผิดดิ่ง เป็นต้น ก็เป็นผู้ที่มืดบอด เป็นตอของวัฏฏะ ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์

คนพาล คนชั่ว ที่เป็นอันธพาลปุถุชน สิ่งที่คนชั่วประเภทนี้ทำไม่ได้ คือ การอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม และ เกิดความเห็นถูก แม้จะเกิดกุศลขั้น ทาน ศีลได้ แต่กุศลขั้นวิปัสสนา ไม่สามารถเกิดและอบรมได้ ครับ และ ไม่มีทางหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์

ส่วน ปุถุชนที่เป็นกัลยาณปุถุชน ก็สามารถเกิดกุศลจิตได้ทุกประเภท แม้จะเกิดความชั่ว เป็นคนชั่วเป็นส่วนใหญ่ในชีวิต แต่กุศลจิตก็เกิดได้ และสามารถอบรมปัญญาได้ จนถึงการบรรลุธรรมในอนาคต ครับ

ไม่มีใครที่จะมีความชั่ว เป็นคนชั่วตลอดเวลา แต่ความดี กุศลจิตก็มีได้บ้าง แต่ความดีจะบริสุทธิ์ได้ก็เพราะมีปัญญา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการฟังพระธรม ศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ ครับ แม้คนชั่วจะทำความดีได้ และ แม้คนดีจะทำความชั่วได้ แต่ต่างกันตรงที่ว่า

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓- หน้า 567

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ความดีคนดีทำได้ง่าย ความดีคนชั่วทำได้ยาก ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย ความชั่วพระอริยะทั้งหลายทำได้ยาก

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไก่บ้าน
วันที่ 2 มี.ค. 2556

สาธุครับ ทีแรกนึกว่าคุณเผดิม จะฟันเปรี้ยง ว่า เป็นพระโสดาบัน คนชั่วทำไม่ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 2 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นธรรมดาที่ว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ กิเลสอกุศลเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ซึ่งมีตั้งแต่ระดับที่บางเบาจนกระทั่งมีกำลังกล้า ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน เวลาที่กล่าวถึงคนชั่วคนไม่ดีแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นคนอื่น แต่แท้ที่จริงแล้ว ความจริงเป็นความจริง อกุศลเป็นอกุศล เกิดกับใครก็เป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตนเองสะสมสิ่งที่ไม่ดี มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น มามากเพียงใด ดังนั้น แทนที่จะคิดว่าคนอื่นเป็นคนไม่ดี ทำดียาก แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แทนที่จะคิดถึงคนอื่น ก็ย้อนกลับมาที่ตนเอง ที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมกุศล เพื่อขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีของตนเองต่อไป ไม่มีใครรู้จักตนเองดีเท่ากับตนเอง เป็นคนดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่เพียงชั่วคราว ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 2 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 2 มี.ค. 2556

คนไม่ได้ชั่วตลอดเวลา อยู่ที่ดีมาก หรือ ชั่วมาก ในครั้งพุทธกาลเช่น พระเทวทัต ทำบาปหนัก คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้า ภายหลังท่านยังสำนึกได้ เอาคางเป็นพุทธบูชา คนชั่วภายหลังเป็คนดีก็ได้ คนดีก็กลายเป็นคนชั่วได้ ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 7 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความดีคนดีทำได้ง่าย

ความดีคนชั่วทำได้ยาก

ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย

ความชั่วพระอริยะทั้งหลายทำได้ยาก

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
papon
วันที่ 8 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 9 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 12 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Sea
วันที่ 16 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ