พระชาติที่ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาซึ่งพุทธภูมิครั้งแรก

 
tone
วันที่  5 มี.ค. 2556
หมายเลข  22581
อ่าน  4,812

เจริญพร

พอดีอาตมามีข้อสงสัยในเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพุทธภูมิครั้งแรก ในหนังสือมุนีนาถทีปนี ท่านรจนาว่า ในสมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นสมเด็จพระ เจ้าสาครราชบรมจักรพรรดิ์ พระองค์ได้ทรงถวายทานแก่สมเด็จพระปุณาณศรีศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทรงเปล่งพระวาจาปราถนาภูมิ ซึ่งมีเนื้อความดังนี้ว่า "ด้วยเดชะอำนาจแห่งบุญกรรมนี้ ขอจงเป็นปัจจัยราศรีเสริมส่งให้ข้าพระองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธ เจ้า ทรงพระนามว่า พระศากยมุนีโคดม เสมอด้วยพระนามพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ด้วยเถิด" ครั้นตรัสฉะนี้แล้ว พระองค์จึงทรงตั้งวจีปณิธาน ซ้ำลงไปอีกว่า "พระบรมไตรโลกนาถเจ้านี้ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทจักขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะยังสัตว์ทั้งหลายให้รู้ได้ด้วยฉันนั้น พระผู้ทรงพระภาคผู้นาถะของโลกนี้ ได้ล่วงพ้นจากสงสารแล้ว ทรงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันใด ข้าพระบาทขอจงได้เป็นนาถะของโลก ล่วงพ้นจากทุกข์ในสงสารแล้ว และสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้ล่วงพ้นได้ด้วยฉันนั้น พระผู้มีพระภาคนาถะของโลกนี้ ทรงข้ามได้แล้วจากโลก และย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันใด ขอข้าพระบาทจงได้เป็นพระโลกนาถะข้ามได้แล้วจากโลก และยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามได้ด้วยฉันนั้นเถิด "บางแห่งก็กล่าวว่า สมัยหนึ่งทรงเกิดเป็นพรหมกุมาร ครั้นเมื่อเมื่อมารดาบิดาสิ้นอายุลง จึงได้ออกบวชเป็นดาบส มีนามว่าพรหมดาบส ในวันหนึ่งได้พบเห็นเสือแม่ลูกอ่อนที่อยู่ใต้ก้นเหวกำลังจะกินลูกของตัวเองด้วยความหิวโหย จึงคิดสละร่างกายตนเองเป็นทาน เพื่อแม่เสือจะได้ไม่ต้องกินลูกตนเอง ซึ่งมีเนื้อความโดยย่อดังนี้พระโพธิสัตว์เจ้าคำนึงจินตนาการดังนี้แล้ว จึงตั้งจิตปณิธานว่า“ด้วยเดชะบุญกรรมนี้ ขอเราจงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ให้เรานำสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏสงสารให้ถึงความระงับดับทุกข์ด้วยเถิด” ครั้นตั้งจิตปณิธานปรารถนาพระพุทธภูมิดังนี้แล้ว เพื่อจะประกาศแก่หมู่เทพยดาให้รู้ทั่วกันอีกเล่า พระพรหมดาบสโพธิสัตว์เจ้าจึงประกาศเป็นเนื้อความว่า “ขอทวยเทพเจ้าทั้งปวง คือ ภูมิพฤกษาเทวา และอากาสเทวา ทั้งสมเด็จพระอัมรินทราเจ้า และท้าวมหาพรหมปชาบดี ศศิธรเทพบุตร ทั้งพญายมและท้าวจาตุมหาราชโลกบาลทั้งสี่ ทวยเทพซึ่งสถิตอยู่ ณ สถานทุกถิ่นที่ ตลอดจนนารทบรรพตจอมภูผา ขออัญเชิญทั่วทุกพระองค์ จงมากระทำอนุโมทนาในชีวิตสรีระทานของข้า ที่ได้รับอบรมสั่งสมกระทำ ณ กาลบัดนี้เถิด”

ดังนั้น จึงอยากทราบว่า ในพระไตรปิฎก มีเนื้อความปรากฎแบบนี้หรือไม่ วานท่านผู้รู้ที่ได้ค้นคว้าพระไตรปิฎกมาก่อน ช่วยไขข้อสงสัยให้ที (คราวที่แล้วลืมถามในส่วนส่วนนี้ด้วยขออภัยยิ่ง)

อนุโมทนาในกุศลของทุกท่าน

เจริญพร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 6 มี.ค. 2556

ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ

เท่าที่ศึกษาในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ยังไม่พบข้อความดังกล่าวครับ ส่วนใหญ่จะมีปรากฏในคัมภีร์รุ่นฎีกา อนุฎีกา และยังมีตัวอย่างที่ต่างจากท่านยกมาข้างต้นครับ แต่มีข้อความกล่าวถึงพระชาติที่ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ คือ ตั้งแต่เป็นสุเมธดาบสครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 6 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

จากข้อความที่กล่าวมานั้น ไม่มีในพระไตรปิฎก ในครั้งที่พระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิครั้งแรก ครับ มีแต่ว่า พระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิครั้งแรก เมื่อถวายผ้ากับพระภิกษุ จึงตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งก่อนหน้านั้น ท่านก็ต้องสะสมอุปนิสัย ความยินดี ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยสัตว์โลก โดยนึกถึงคนอื่นก่อนตนเองอยู่เสมอ จึงทำบุญประการต่างๆ น้อมไปที่จะเป็นไปเพื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ครับ

ซึ่งการจะถึงความเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องอบรมเหตุให้สมควรกับผล ด้วยการสะสมบุญบารมีมากมาย นับชาติไม่ถ้วน และจะต้องมีอัธยาศัยใหญ่ที่พอใจในความเป็นพระ พุทธเจ้า ด้วยใจจริง เพราะฉะนั้น การถึงพร้อมด้วยเหตุ ผลย่อมมี แต่ต้องมีเหตุที่สมควรกับผล ครับ

ข้อความในพระไตรปิฎกที่ปรารถนาพุทธภูมิ ครั้งแรก

[เล่มที่ 71] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 873

พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐) ว่าด้วยบุพจริยาของพระพุทธองค์

[๓๙๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรมณียสถาน โชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่าอันมีกลิ่น หอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้น ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง กรรมที่เราทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้ว ได้ถวายผ้าเก่า. เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า.

ส่วนการเปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมินั้น ก็เนิ่นนานมาแล้ว เพราะพระองค์ทรงเปล่งพระวาจา เก้าอสงไขยแสนกัป ก่อนจะมีการกระทำทางกายอีกสี่อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้น ทรงเปล่งวาจาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาก่อนการเป็นสุเมธดาบส แต่เมื่อถึงชาติที่เป็นสุเมธดาบสชาตินั้น สะสมบารมีมาพร้อมมีคุณธรรม ที่จะได้รับการพยากรณ์ด้วยการกระทำทางกายที่สละชีวิต แต่ก่อนหน้านั้นก็เปล่งวาจาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้ว ส่วนข้อความที่พระคุณเจ้ายกมาไม่มีพยากรณ์ในพระไตรปิฎก ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
tone
วันที่ 6 มี.ค. 2556

สาธุ ขอนุโมทนาในกุศลจิต

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 6 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

"พระบารมีทั้งหมดที่พระมหาสัตว์ (พระโพธิสัตว์) ได้บำเพ็ญมา ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง"

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลา สี่อสงไขยแสน กัปป์ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลก ด้วยการทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจความจริง พระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก คือ ทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง จากที่สัตว์โลกเคยเป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ก็สามารถที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ด้วยปัญญาอันเกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

ถ้าไม่มีบุคคลผู้เสียสละอย่างไม่มีใครเสมอเหมือนอย่างนี้ สัตว์โลกก็ย่อมจะไม่มีทางหลุดพ้นจากความมืดมิดด้วยกิเลส มีอวิชชา เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง ที่จะได้มีความเพียร มีความอดทน เห็นประโยชน์ ที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเองต่อไป ครับ

..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 8 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 15 มี.ค. 2556

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพเจ้าค่ะ

ขอกราบเรียนอธิบายเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ....

ผู้ที่จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น จะต้องมีความมั่นคงต่อพระโพธิญาณ กล่าวคือ

๑. ตั้งความปรารถนาไว้อย่างมั่นคงว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่น้อยกว่า ๗ อสงไขย

๒. เปล่งวาจาประกาศความมุ่งมั่นว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่น้อยกว่า ๙ อสงไขย

๓. บำเพ็ญบารมีเพื่อพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่น้อยกว่า ๔ อสงไขย (สำหรับปัญญาธิกะ) หลังจากที่ได้รับการพยากรณ์แล้วจากข้อ ๒

จะเห็นว่า แม้การเปล่งวาจาประกาศความมุ่งมั่นว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๙ อสงไขย ดังนั้นคงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่พระชาติ แต่เกิดขึ้นกับพระโพธิสัตว์นับพระชาติไม่ถ้วนค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 21 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ