เมื่อไม่ใช่เรา จะทำอะไรก็ได้หรือ ?

 
นิรมิต
วันที่  6 มี.ค. 2556
หมายเลข  22582
อ่าน  1,267

กราบสวัสดีท่านวิทยากร และมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

กราบขออนุญาตเรียนถามข้อสงสัยดังนี้ครับ คือเรื่องนี้ กระผมเคยได้ยินมีผู้ถามในซีดีธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายส่วนใดส่วนหนึ่ง (แต่จำไม่ได้ว่าซีดีเรื่องไหน ต้องขอโทษด้วยครับ) และก็สงสัยเองด้วย และคิดว่าน่าจะเป็นประเด็นที่คนเริ่มสนใจธรรมใหม่ๆ ก็สงสัยเป็นอันดับต้นๆ จึงอยากทราบคำอธิบายหรือแนวคิดที่จะช่วยให้มีความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างถูกต้อง ละเอียดไม่เผิน และที่ควรจะเป็น เพื่อที่หากมีบุคคลถามในเรื่องนี้ จะได้ตอบเขาได้อย่างละเอียด ไม่เผิน หน่อยครับ

เมื่อธรรมไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ในเมื่อไม่มีเรา ก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำกิจการงาน ก็เที่ยวเล่น ก็เป็นไปต่างๆ นาๆ หาอะไรเพลินใจ ทำตัวยังไงก็ได้ เพราะไม่มีเรา ทำกรรมอะไรก็ทำไป แม้จะมีผล แต่ก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา จะเวียนว่ายต่อไปในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่เป็นไร จะทุกข์ก็ไม่เป็นไร จะสุขก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องสนใจอะไรๆ ก็อยู่ไปวันๆ อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องศึกษาธรรม ไม่ต้องบรรลุก็ได้ เพราะไม่มีเราที่ได้ผลประโยชน์ จะอยู่ยังไงก็ปล่อยไปตามกรรม

ความเห็นแบบนี้ เมื่อปรากฏแล้ว ควรจะอธิบายอย่างไรให้ความเห็นอย่างนี้ถูกขจัดไปได้ จะกล่าวอย่างไรให้ละเอียด ให้เห็นคุณค่าของปัญญา ให้เห็นโทษของสังสารวัฏฏ์ เห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของการเกิดดับครับ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ก่อนอื่นขอเรียนว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมีหลากหลายมาก เพราะทรงแสดงธรรมตามอัธยาศัยของผู้ฟัง บางพระสูตรทรงแนะนำตั้งแต่คุณธรรมเบื้องต้น คือ ทาน หรือ ศีล เพราะผู้ฟังยังขาดคุณธรรมเหล่านี้ บางพระสูตรทรงแนะนำเริ่มตั้งแต่ศีล เป็นต้นไป บางพระสูตรทรงแนะนำกุศลขั้นสมถภาวนา วิปัสนาภาวนา สูญญตา นิพพาน เลยทีเดียว เพราะท่านเหล่านั้นพร้อมที่จะรับฟังธรรมขั้นสูงแล้ว ดังนั้น ยุคปัจจุบัน เมื่อได้เราศึกษาพระธรรมคำสอนโดยนัยต่างๆ ก็ควรทราบว่า ตัวเราอยู่ในฐานะไหน สิ่งที่ควรทำคืออะไร สิ่งที่ควรเว้นคืออะไร อะไรมีคุณ อะไรมีโทษ อะไรประกอบด้วยประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์ ควรเจริญ ควรละ เป็นต้น ถ้าเข้าใจพระธรรมคำสอนจริงๆ แล้ว จะไม่ละเลยในการเจริญกุศลทุกประการ จะไม่มีการปล่อยชีวิตเป็นไปตามยถากรรมเลยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ในความเป็นจริงที่กล่าวว่าไม่มีเราๆ ไม่มีสัตว์บุคคลเพราะมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละขณะ และที่สำคัญ คือ อะไรทำหน้าที่ อะไรทำกิจการงาน อะไรทำกิจดำเนินชีวิประจำวัน อะไรเที่ยวเล่นต่างๆ เหล่านี้ เพราะมีสภาพธรรมที่ทำหน้าที่ คือ มี จิต เจตสิก รูป มีจิตที่คิดนึก มีจิตที่ต้องการทำสิ่งต่างๆ มีรูปที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นไป ดังนั้น การทำอะไรต่างๆ ได้ ก็เพราะ มีจิต เจตสิก รูป หากไม่มีสภาพธรรมเลย ก็จะไม่มีอะไรเลย ไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้น การเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเข้าใจเช่นนี้ จะทำให้ไม่สามารถทำงานทำอะไรได้ ชีวิตก็ยังคงดำเนินไปตามอย่างนั้น และ ก็ยังคงจะต้องเป็นไปในชีวิตประจำวัน ทำกิจการงาน ทำหน้าที่ต่างๆ ตามสภาพธรรมที่เกิดขึ้น

ดังนั้น ประโยชน์ของการเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ก็เพื่อละกิเลส ที่เราทุกข์ใจ ทุกข์กาย ก็เพราะ อาศัยกิเลส อาศัยความไม่รู้ หากไม่มีกิเลสเหล่านี้ ก็ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเกิดให้ทุกข์ ดังนั้น การเข้าใจว่าไม่มีเรา ก็ไม่ต้องเดือดร้อนกับความเป็นเรา ที่ยึดถือว่ามีเรา มีเขา ก็เดือดร้อนประการต่างๆ การเข้าใจถูกย่อมมีประโยชน์ที่จะต้องไม่ทุกข์ การศึกษาพระธรรม อบรมปัญญาจึงมีคุณค่า เพราะ ทำให้เข้าใจถูก ละอวิชชา และ กิเลสประการต่างๆ เพื่อเข้าใจว่าไม่มีเรา การเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม จะทำให้ละกิเลส ละความไม่รู้ ละกิเลสประการต่างๆ ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ได้หมดสิ้น ครับ ความเข้าใจถูกที่ทำให้ทุกข์น้อยลง หรือ ไม่มีทุกข์ ย่อมจะดีกว่า ความเข้าใจผิดที่คิดว่ามีเราเสมอ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ตุ้ย
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ความไม่มีใช่เราก็คืออนัตตาธาตุ ผู้ที่จะเข้าถึงอนัตตาธาตุนั้นมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่เราทุกข์ ก็เพราะเรามีกิเลสที่ไปยึดเอาเรามาเป็นของเรา และก็ไปยึดสิ่งต่างๆ มาเป็นของๆ เราอีก ก็เลยยิ่งทุกข์ไปกันไปใหญ่ ถ้าจะพูดถึงความทุกข์ที่เกิดที่มี มันก็ไม่ใช่เราหรือเป็นของๆ เราเช่นกัน แต่เรายังไม่พ้นจากความเป็นเรา เราก็จึงต้องทุกข์ หากเราปล่อยปละละเลย ไม่สนใจอย่างที่ท่านกล่าวมานั้น ตัวท่านนั้นละจะต้องทุกข์ เพราะท่านยังไม่พ้นจากความเป็นเราอันเป็นอัตตาตัวตน อนัตตานั้นมีอยู่แต่ท่านยังไปไม่ถึง หากยังไปยังไม่ถึง ท่านก็แบกความเป็นเราไปตลอดทุกภพทุกชาติ ทุกข์ไปทุกภพทุกชาติ ท่านก็ดูชาตินี้ก็ได้ หากว่ามีใครมาด่า มาว่า หรือมาทำร้ายตัวท่าน ญาติพี่น้อง พ่อ แม่ ของท่านแล้ว ท่านก็ต้องทุกข์ใช่ไหมครับ ความไม่เป็นเรามีอยู่ อนัตตานั้นก็มีอยู่ ตราบใดยังไปไม่ถึง ท่านก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร ในสิ่งที่ท่านยังไปไม่ถึงนั้นได้

เจริญในธรรมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ฐาณิญา
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิรมิต
วันที่ 7 มี.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จะไปเที่ยว หรือจะฟังธรรม ก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจอย่างถูกต้องมั่นคงจริงๆ ว่า มีแต่ธรรมเท่านั้นไม่มีสัตว์ บุุคคล ตัวตน ถ้าไม่เริ่มที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจแล้ว ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย สำคัญที่สุดคือการฟังพระธรรมให้เข้า ใจ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 8 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
SRPKITT
วันที่ 8 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 9 มี.ค. 2556

จากที่ท่านเจ้าของกระทู้ยกขึ้นสนทนาว่า

"เมื่อธรรมไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ในเมื่อไม่มีเรา ก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำกิจการงาน ก็เที่ยวเล่น ก็เป็นไปต่างๆ นานา หาอะไรเพลินใจ ทำตัวยังไงก็ได้ เพราะไม่มีเรา ทำกรรมอะไรก็ทำไป แม้จะมีผล แต่ก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา จะเวียนว่ายต่อไปในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่เป็นไร จะทุกข์ก็ไม่เป็นไร จะสุขก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องสนใจอะไรๆ ก็อยู่ไปวันๆ อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องศึกษาธรรม ไม่ต้องบรรลุก็ได้ เพราะไม่มีเราที่ได้ผลประโยชน์ จะอยู่ยังไงก็ปล่อยไปตามกรรม"

เป็นเรื่องที่ผมเคยคิดมาก่อนเหมือนกัน เนื่องจากยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "อนัตตา" หรือ ที่ว่าไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา ในนัยที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องที่เราเอามาคิดกันเองว่าไม่มีเราคือไม่มีอะไรเลย ซึ่งที่เข้าใจว่า เมื่อไม่ใช่เราแล้ว จะทำอะไรก็ได้ ไม่ทำอะไรก็ได้ หรือ อยู่ไปวันๆ นั้น

แต่จริงๆ แล้ว ก็ยังคิดอยู่ดีแหละว่า เป็นเรานั่นเองที่จะทำอะไรก็ได้ หรือ เป็นเรานั่นเองที่จะไม่ทำอะไร เป็นเราที่ไม่สนใจ หรือเป็นเรานั่นเองที่ปล่อยไปตามยถากรรม กล่าวคือ ก็ยังเป็นเราอยู่ดี ดังนั้น จึงต้องอธิบายให้ผู้สงสัยเข้าใจโดยถ่องแท้ก่อนว่า ไม่ใช่เราแต่เป็นเพียงธรรมะ คือ อะไร ดังที่ท่านอาจารย์วิทยากรได้อธิบายมาข้างต้นนะครับ จึงจะรู้ว่าคิดเอาเองนั้น ห่างไกลต่อเหตุผลและความเป็นจริงมากๆ และอาจจะกลายเป็นความเห็นผิดที่ดิ่งไปสุดขั้วได้ ว่า ทำดีก็ไม่มี ทำชั่วก็ไม่มี บุญก็ไม่มี บาปก็ไม่มี อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวเพราะมีโทษมหันต์ มากเสียกว่ากระทำอนันตริยกรรมเสียอีกนะครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 10 มี.ค. 2556

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺสฺส ฯ (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)

เรียน คุณนิรมิต ครับ

เมื่อมี "ปัญญา" รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มี "เรา" จริงๆ แล้ว นั่นหมายความว่า "ปัญญา" ย่อมเข้าใจถูกต้องว่า มีแต่ "ธรรม" ที่เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย สภาพ "ธรรม" ทั้งที่เป็น "กุศล" และ "อกุศล" ย่อมปรากฏอย่างชัดเจนกับ "ปัญญา" ตามความเป็นจริงว่า "กุศล" เป็น "กุศล" และ "อกุศล" เป็น "อกุศล" โดยไม่มีความเห็นผิดว่า เป็น "เรา" หรือ "ของเรา" เข้าไปยึดถือ ทั้งในกุศลและในอกุศลเลย ครับ

ปัญญาที่บริสุทธิ์จาก "ความเป็นเรา" จึง "ตรง" และ "จริงใจ" ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยไม่เข้าข้างตนเอง เพราะไม่มี "ตน" ให้เข้าข้าง "กุศล" ต้องเป็น "กุศล" และ "อกุศล" ต้องเป็น "อกุศล" ไม่เข้าใจผิด "ปัญญา" จึงมีแต่เข้าใจและเห็นโทษของ "อกุศล" ตามความเป็นจริง มีความละอาย รังเกียจ เพื่อละคลาย ขัดเกลา "อกุศล" ให้เบาบางลง และในขณะเดียวกัน "ปัญญา"ย่อมเข้าใจประโยชน์และเห็นคุณค่าของ "กุศล" จึงอบรมเจริญ เพิ่มพูน "กุศล" ให้ไพบูลย์ งอกงาม ทุกประการ ด้วยการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาและคุณความดีที่บริสุทธิ์ เพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส จนกว่ากิเลสทั้งปวงจะดับหมดสิ้นไป ครับ

จึงไม่ใช่ว่า เมื่อไม่มี "เรา" แล้วจะไม่ต้องทำอะไร หรือ จะทำอะไรก็ได้ เพราะ "ธรรม" ต่างก็ทำกิจหน้าที่ของ "ธรรม" ตามเหตุตามปัจจัยอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ "ชีวิตประจำวัน" ของแต่ละท่าน ที่ได้สะสมเหตุปัจจัยมา ให้ชีวิตเกิดขึ้นเป็นไปตามความเป็นจริง ครับ แต่เมื่อมี "ปัญญา" ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกใน "ธรรม" ซึ่งไม่ใช่ "เรา" แล้ว "ปัญญา" ก็จะทำหน้าที่ของ "ปัญญา" ในการอบรมเจริญคุณความดีทุกประการ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมทั้งปวงถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ชีวิตจริงของผู้มี "ปัญญา" ย่อมคล้อยไปตามปัญญาที่ได้อบรมเจริญแล้ว ครับ

การประพฤติธรรมในพระพุทธศาสนาทั้งหมด จึงไม่ใช่เรื่องของ "เรา" หรือ "ตัวตน" ครับแต่เป็นเรื่องของ "ปัญญา" ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ

ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ตราบใดที่ยังไม่มีความเห็นถูก ไม่ว่าจะ "ทำ" หรือจะ "ปล่อย" ก็ไม่พ้นจากความเป็นเรา เมื่อใดที่มีความเห็นถูกมากขึ้น จะไม่มีความจงใจหรือขวนขวายที่จะ "ทำ" หรือ "ปล่อย" แต่เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงค่ะ ธรรมจึงเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องอาศัย "ปัญญา" เข้าใจความจริงนี้ให้ถูกต้องค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ฐาณิญา
วันที่ 22 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
SRPKITT
วันที่ 18 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
SRPKITT
วันที่ 19 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ