ถูกเลี้ยงดูและอบรมมาไม่ดี

 
tookta
วันที่  8 มี.ค. 2556
หมายเลข  22589
อ่าน  1,201

โอกาสในชีวิตของคนเรานั้นไม่เท่ากัน บางคนก็เกิดมาในตระกูลที่ดีและได้รับการอบรมในด้านมารยาท ความประณีตและความประพฤติที่ดี แต่ในทางกลับกัน บางคนก็เกิดมาในตระกูลที่ต้อยต่ำ (ประเภทตาสีตาสาที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราว จึงทำให้ไม่ได้รับการอบรมในเรื่องมารยาท ความประณีตและความประพฤติ แต่คนเหล่านี้เขาไม่ได้เป็นคนที่เลวร้าย เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสในชีวิตที่ดีเหมือนคนอื่นเขา) เราก็ควรให้โอกาสเขาโดยการช่วยเหลือเขา โดยที่เราพยายามสอนเรื่องมารยาท ความประณีตและความประพฤติที่เรามีให้เขา และไม่ควรที่จะไปดูถูกเขา แต่ถ้าเราสอนเขาแล้ว เขาไม่ใส่ใจ เราก็คงจะต้องวางเฉย การกระทำที่เราคิดนี้ ใช่หลักธรรมขั้นพรหมวิหาร ๔ ใช่ไหมคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พรหมวิหาร ๔ หมายถึง ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ของพรหม ซึ่งพรหมคือ ผู้ที่ประเสริฐ ความประเสริฐเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่ดีที่เป็นกุศลธรรมประการต่างๆ จึงจะชื่อว่า ประเสริฐ พรหมวิหาร ๔ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา

เมตตา คือ ความปรารถนาดีให้ผู้อื่นมีความสุข

กรุณา คือ ต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

มุทิตา คือ ความยินดีด้วยกุศลจิต เมื่อผู้อื่นได้ดี

อุเบกขา คือ ความวางเฉยด้วยปัญญาที่รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่สามารถช่วยได้ หรือช่วยเท่าที่ช่วยได้

ซึ่งจากคำถามที่กล่าวมา ในชีวิตของแต่ละคนก็คือ ชีวิตที่เป็น จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น มีการสะสมมาแตกต่างกันหลากหลาย ทั้งทางกาย วาจาและใจ การช่วยเหลือ เมตตา ปรารถนาดีที่เป็นเมตตา เป็นหนึ่งในพรหมวิหาร ที่อยากให้ผู้อื่นมีความสุขโดยเสมอกัน และไม่เลือกว่าใคร จะยากดีมีจน ต่ำต้อย ดี หรือ เลว ก็ล้วนแล้วแต่ที่ควรจะช่วยเหลือ ซึ่งขณะใดที่ปรารถนาดี ต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข มีการให้โอกาส ช่วยเหลือประการต่างๆ ปรารถนาดี อยากให้มีพฤติกรรมที่ดี มีมารยาทที่ดี ขณะนั้นเป็นเมตตา เป็นพรหมวิหาร ข้อหนึ่งในสี่ข้อ ซึ่งเมตตา ท่านเปรียบเหมือนน้ำ ไม่ว่าใครจะลงไปอาบ ชำระล้างร่างกาย ก็ให้ความเย็นเสมอกัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด ครับ

ส่วนขณะใดที่เห็นว่า คนนั้นเดือดร้อน ลำบาก ในฐานะของชีวิตที่ยากจน ต้องการช่วยเหลือให้พ้นจากความลำบาก หรือเห็นว่า มีพฤติกรรมที่ไม่ดี ต้องการให้มีพฤติกรรมที่ดี ช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์ที่เกิดจากกาย วาจา ที่ไม่ดีของเขาเอง ขณะที่คิดในใจเช่นนั้น และมีการกระทำทางกาย วาจา ที่ช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ ขณะนั้นเป็นกรุณา เป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในสี่ข้อครับ

และเมื่อผู้นั้นได้รับสิ่งที่ดี จากที่เคยยากจน หรือได้รับเงินมากขึ้น ก็พลอยยินดีที่ผู้นั้นมีความสุข ก็เป็นมุทิตาในขณะนั้น

แต่หากว่า ช่วยเหลือแล้วในด้านการเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ และ ช่วยเหลือเรื่องอื่นๆ ก็ช่วยเต็มที่แล้ว แต่ช่วยได้แค่นั้น ก็วางเฉยด้วยปัญญา ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ จึงไม่เป็นอกุศลที่เขาไม่เป็นเช่นนั้น จึงเป็นอุเบกขา วางเฉยด้วยปัญญา ครับ

พรหมวิหาร ๔ เป็นคุณธรรมที่ประเสริฐ และจะมีขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการอบรมด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นจะทำให้ดีขึ้น กุศลประการต่างๆ และ พรหมวิหาร ๔ เจริญขึ้นด้วย ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 8 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 8 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละบุคคลก็มีความแตกต่างกัน โดยกว้างๆ แล้ว คือ ต่างกันโดยการสะสมเหตุ และ แตกต่างกันโดยการได้รับผลของกรรม ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สัตว์โลก จึงเป็นที่ดูบุญและบาปและดูผลแห่งบุญและบาปจริงๆ ชีวิตประจำวันถ้าจะพิจารณาจริงๆ แล้ว โอกาสที่จะเป็นกุศล ก็มีไม่น้อยเลย ถ้าสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของกุศล เห็นประโยชน์ของคุณความดี ก็ย่อมจะไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญอย่างนั้น เพราะถ้ากุศลไม่เกิดก็เป็นโอกาสของการเกิดขึ้นของอกุศลธรรม

เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียว อยู่ร่วมกับบุคคลอื่น มีโอกาสที่จะได้พบเห็นบุคคลต่างๆ มากมาย ความเกิดขึ้นของอกุศล ไม่เป็นประโยชน์โดยส่วนเดียว แต่ถ้ากุศลจิตเกิดแล้ว เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน ความดีทุกอย่างควรเจริญ ควรเกิดขึ้นและเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะพบใคร ก็เป็นความดีประการหนึ่ง เป็นหนึ่งในพรหมวิหารธรรมอันเป็นเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ และยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะเป็นเหตุให้พรหมวิหารประการอื่นเจริญขึ้นตามมาด้วย เพราะมีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน จึงมีการช่วยเหลือ ให้ผู้นั้นพ้นจากทุกข์ พ้นจากความเดือดร้อน พ้นจากความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ด้วยความเห็นใจ มุ่งอนุเคราะห์ พร่ำสอนในสิ่งที่เป็นประโยชน์เพราะมีความเป็นมิตร เมื่อผู้อื่นได้ดีมีความสุข ก็พลอยยินดีด้วย ไม่ริษยา และประการสุดท้าย คือ อุเบกขา ไม่หวั่นไหวเอนเอียงไปด้วยอำนาจของอกุศล เพราะสัตว์โลกมีมาก ไม่สามารถช่วยได้หมด หรือในขณะที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือแล้ว เขาก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ เป็นต้น ก็วางเฉยได้ก็มีความเข้าใจถูกเห็นถูกว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน

แต่ละบุคคลล้วนจะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยที่ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า จะเป็นวันใด เวลาใด เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสของชีวิตที่ยังเหลืออยู่ คือยังไม่ตาย ก็ควรที่จะได้เป็นไปเพื่อการสะสมกุศลและฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 8 มี.ค. 2556

การที่สอนใครที่มีพฤติกรรมไม่ดี เราก็จะต้องเมตตาเขากับคนนั้นด้วยถึงจะสอนเขาและแนะนำเขาในทางที่ดีด้วย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 9 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
นิรมิต
วันที่ 9 มี.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tookta
วันที่ 9 มี.ค. 2556

ขอบคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 10 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
rrebs10576
วันที่ 13 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 21 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ