มุ่งเรื่องดับทุกข์เท่านั้น

 
นิรมิต
วันที่  11 มี.ค. 2556
หมายเลข  22603
อ่าน  1,383

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เครพทุกท่าน

มีความสงสัยจะขออนุญาตให้ท่านวิทยากรและมิตรธรรมช่วยกรุณาร่วมสนทนาในหัวข้อดังนี้ครับ มีผู้ศึกษาพระธรรมหลายท่านหลายที่ มักจะมีการพูดเสมอๆ ว่า ให้มุ่งแต่เรื่องทุกข์และเรื่องดับทุกข์เท่านั้น เพราะพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเรื่องอริยสัจจ์ ๔ ทรงสอนเหตุแห่งทุกข์ เหตุดับไปแห่งทุกข์ ความดับไปแห่งทุกข์ ปฏิปทาในการดับไปแห่งทุกข์ ท่านก็บอกให้ศึกษาเฉพาะเรื่องของทุกข์ สนใจแต่เรื่องของทุกข์ อะไรๆ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจ อย่างเรื่องนรกบ้าง สวรรค์บ้าง แต่โดยส่วนมากก็มักเผินในเรื่องต่างๆ แล้วมุ่งแต่จะศึกษาเรื่องทุกข์ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าขณะนี้อะไรเป็นทุกข์ ฉะนั้นจริงๆ แล้ว พระธรรมทั้งหมดไม่ควรเผิน เพราะพระธรรมที่ทรงแสดง คือเรื่องของทุกข์ ได้แก่สภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดดับ ใช่ไหมครับ เพราะบางคนเข้าใจว่า ทุกข์ในที่นี้ ในอริยสัจจ์ คือทุกขเวทนาหรือโทมนัสเวทนา เท่านั้น ก็มุ่งจะศึกษาแต่ส่วนน้อย หวังจะดับทุกข์เร็วๆ พอศึกษาไม่ละเอียด มีการไปนั่งสมาธิไปปฏิบัติอะไรๆ แล้วสงบ สงบที่ว่านี้ไม่ใช่สงบด้วยกุศล แต่คือความสงบและสุขที่เกิดจากโลภะในการนั่งแล้วสบายก็ดี ไม่คิดเรื่องที่ทำให้ตนเป็นทุกข์ก็ดี ก็คิดว่านั่นแหละ สงบจากทุกข์แล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นที่ว่าสงบๆ ก็กำลังทุกข์ เพราะความสงบเกิดดับ ใช่ไหมครับ จึงได้เกิดความเห็นผิด คิดว่าไปสงบๆ แบบนั้นแล้วจะดับทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ทุกข์ พอทุกข์แล้ว ก็ต้องไปนั่งใหม่ ไปสงบใหม่ หรือหาอุบายอะไรต่างๆ เพื่อให้สงบ แล้วก็ติดในความสงบนั้นก็ได้ หรือบางคนคิดว่าไม่ต้องศึกษาโดยละเอียด ศึกษาแค่พอประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วก็คิดว่า พุทธศาสนาสอนแบบนี้ ให้ใช้ชีวิตประจำวันให้ทุกข์น้อยลง เฉยๆ ก็ชื่อว่าดับทุกข์แล้ว โดยไม่เข้าใจว่าทุกข์อยู่ทุกขณะ ทุกข์ยังไม่ได้ดับไปเลย เพราะยังเกิดดับ แล้วก็ไม่เข้าใจว่า จริงๆ แล้ว ที่ว่าชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวันคืออะไร เพราะพระอรหันต์ก็มีชีวิตประจำวัน แต่เขาก็เข้าใจว่า นั่นไม่ใช่ชีวิตประจำวัน สรุปก็คือ ยังยินดีในการใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นไปด้วยกิเลส เป็นไปด้วยโลภะ แต่ไม่อยากมีโทมนัสเวทนาเท่านั้น ก็ไม่ได้พ้นไปจากโทมนัสได้เลย เพราะไม่รู้เหตุที่แท้ของทุกข์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของบุคคลผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงให้ผู้อื่นได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วย จึงเป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด สิ่งที่ควรรู้ควรศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม จึงมีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีหนทางอื่นที่จะทำให้ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก เจริญขึ้น นอกจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไปทำอย่างอื่น ไปนั่งสมาธิ ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน จดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ความจริงเลย และที่สำคัญ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครอบคลุมสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เมื่อประมวลแล้วก็ไม่พ้นไปจากนามธรรมกับรูปธรรม เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ผู้ฟัง ผู้ศึกษา จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง เมื่อไม่ขาดการฟังพระธรรม ฟังบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาไตร่ตรองด้วยความละเอียดรอบคอบ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่สามารถพ้นจากความทุกข์ด้วยความอยาก แต่พ้นได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญา แต่ละบุคคลมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม เรื่องของคนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่เราจะไม่ละเลยโอกาสสำคัญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก และไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากคำกล่าวที่ว่า มีผู้ศึกษาพระธรรมหลายท่าน หลายที่ มักจะมีการพูดเสมอๆ ว่า ให้มุ่งแต่เรื่องทุกข์และเรื่องดับทุกข์เท่านั้น เพราะพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเรื่องอริยสัจ ๔ ทรงสอนเหตุแห่งทุกข์ เหตุดับไปแห่งทุกข์ ความดับไปแห่งทุกข์ ปฏิปทาในการดับไปแห่งทุกข์ ท่านก็บอกให้ศึกษาเฉพาะเรื่องของทุกข์ สนใจแต่เรื่องของทุกข์ อะไรๆ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจ อย่างเรื่องนรกบ้าง สวรรค์บ้าง แต่โดยส่วนมากก็มักเผินในเรื่องต่างๆ แล้วมุ่งแต่จะศึกษาเรื่องทุกข์ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าขณะนี้ อะไรเป็นทุกข์

-ทุกข์ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีหลากหลายนัย ทั้งโดยสมมติสัจจะ ความจริงโดยสมมติ และ ปรมัตถสัจจะ ความจริงโดยสภาพธรรม ซึ่งทุกข์ที่โดยสมมติเป็นเรื่องราว เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น โศกเศร้า เสียใจ ส่วนความจริงโดยปรมัตถ คือสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่กำลังเกิดขึ้น และดับไปในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึก สี เสียง เป็นต้นเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์

ดังนั้น การรู้จักทุกข์ ก็ต้องรอบรู้ในทุกข์ ทั้งโดยนัยปรมัตถและสมมติสัจจะ แต่การจะรู้จักทุกข์จริงๆ ก็ด้วยการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา และอาศัยการฟังพระธรรมในส่วนอื่นๆ ด้วย ที่จะทำ ให้เจริญขึ้นในกุศลประการต่างๆ และละอกุศลเท่าที่ทำได้ เพราะกุศลไม่ใช่มีเพียงปัญญาเท่านั้น กุศลอื่นๆ ก็เป็นบริวารของปัญญา ที่จะเกื้อหนุนให้ปัญญาเกิดมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น เพราะเพียงปัญญาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถละกิเลสได้ แต่ต้องอาศัยธรรมฝ่ายดีอื่นๆ ร่วมด้วย ก็ด้วยการฟังพระธรรมในส่วนอื่นๆ ที่พระ พุทธเจ้าทรงแสดง เพราะสิ่งใดที่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าย่อมแสดงครับ และก็ควบคู่กับการเจริญสติปัฏฐาน ที่จะเป็นทางรู้ลักษณะของทุกข์ โดยอริยสัจจะจริงๆ ครับ


จากคำกล่าวที่ว่า ฉะนั้น จริงๆ แล้ว พระธรรมทั้งหมดไม่ควรเผิน เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงคือเรื่องของทุกข์ ได้แก่สภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดดับ ใช่ไหมครับ เพราะบางคนเข้าใจว่าทุกข์ในที่นี้ ในอริยสัจจ์ คือทุกขเวทนาหรือโทมนัสเวทนาเท่านั้น ก็มุ่งจะศึกษาแต่ส่วนน้อย หวังจะดับทุกข์เร็วๆ พอศึกษาไม่ละเอียด มีการไปนั่งสมาธิ ไปปฏิบัติอะไรๆ แล้วสงบ สงบที่ว่านี้ไม่ใช่สงบด้วยกุศล แต่คือความสงบและสุขที่เกิดจากโลภะในการนั่งแล้วสบายก็ดี ไม่คิดเรื่องที่ทำให้ตนเป็นทุกข์ก็ดี ก็คิดว่า นั่นแหละสงบจากทุกข์แล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นที่ว่าสงบๆ ก็กำลังทุกข์ เพราะความสงบเกิดดับ ใช่ไหมครับ

-ขออนุโมทนาในความเห็นถูกของผู้เขียนครับ ทุกข์ไม่ใช่เพียงความรู้สึกที่เป็นเวทนา การไม่มีทุกข์ก็ไม่ใช่เพียงการไม่รู้สึกปวดเจ็บ แต่ในความเป็นจริง มีทุกข์อยู่ทุกขณะจิตที่สภาพธรรมกำลังเกิดขึ้นและดับไป ผู้ที่ไม่มีทุกข์ คือ ผู้ที่ไม่มีกิเลสที่จะต้องเกิด เพราะความเกิดเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมด ครับ

ผู้ที่ไปนั่งสมาธิเพื่อแสวงหาทุกข์และดับทุกข์ ลืมไปว่า ทุกข์ไม่ได้มีเฉพาะตอนนั่ง กำลังมีอยู่แล้วในขณะนี้ หากไม่มีปัญญา จะไปอยู่สถานที่ใด อิริยาบถแบบไหนก็ไม่รู้จักทุกข์ แต่ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจหนทางการเจริญสติปัฏฐาน ย่อมสามารถรู้จักทุกข์ที่กำลังมีในขณะนี้ได้ ไม่ว่าอิริยาบถใด ขณะไหนก็ตาม เมื่อปัญญาเกิดพร้อมในขณะนั้น ครับ

ดังนั้นที่เข้าใจว่า สงบในขณะที่นั่งสมาธิ ก็เป็นความคิดเองว่าสงบ เพราะสำคัญว่า การไม่คิดเรื่องอะไรเลย จดจ่ออยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งนั้นสงบ แท้ที่จริง ไม่ได้สงบเพราะกำลังจดจ้องอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งด้วยความต้องการ อันเป็นโลภะอย่างละเอียด ครับ


จากคำกล่าวที่ว่า หรือบางคนคิดว่า ไม่ต้องศึกษาโดยละเอียด ศึกษาแค่พอประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วก็คิดว่า พุทธศาสนาสอนแบบนี้ ให้ใช้ชีวิตประจำวันให้ทุกข์น้อยลง เฉยๆ ก็ชื่อว่าดับทุกข์แล้ว โดยไม่เข้าใจว่าทุกข์อยู่ทุกขณะ ทุกข์ยังไม่ได้ดับไปเลย เพราะยังเกิดดับ แล้วก็ไม่เข้าใจว่า จริงๆ แล้ว ที่ว่าชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวัน คืออะไร เพราะพระอรหันต์ก็มีชีวิตประจำวัน แต่เขาก็เข้าใจว่า นั่นไม่ใช่ชีวิตประจำวัน สรุปก็คือ ยังยินดีในการใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นไปด้วยกิเลส เป็นไปด้วยโลภะ แต่ไม่อยากมีโทมนัสเวทนาเท่านั้น ก็ไม่ได้พ้นไปจากโทมนัสได้เลย เพราะไม่รู้เหตุที่แท้ของทุกข์

-ขออนุโมทนาในความเห็นถูกครับ พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดเท่านั้น จึงจะได้สาระและความเข้าใจถูก เพราะหากศึกษาเพียงผิวเผินและก็เอาไปคิดเอง ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ต่อ ด้วยความคิดของปุถุชน ย่อมที่จะทำให้เข้าใจผิดในเรื่องราวที่คิดนึกได้ เพราะไม่ได้อาศัยพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์อย่างแจ่มแจ้ง ในการที่เป็นเครื่องดำเนินไปสู่ทางเห็นถูกนั่นเอง ดังนั้น เมื่อไม่ได้ศึกษาละเอียด ไม่ได้ศึกษาเรื่องราวของสภาพธรรมว่าคืออะไร ก็สำคัญว่า ธรรมแยกออกจากชีวิตประจำวัน ทุกข์ก็กำลังมีในชีวิตประจำวัน แม้จะไม่ได้ทุกข์ใจ แต่ทุกข์ก็มีแล้วในขณะนี้ ขณะที่สภาพธรรมกำลังเกิดขึ้น ไม่ต้องไปแสวงหาทุกข์ที่ไหน กำลังมี กำลังปรากฎ และ หากไม่ได้ศึกษาโดยละเอียด จะประยุกต์เอาธรรมมาใช้เอง ก็เป็นเพียงความคิดนึกของตนเองที่เข้าใจผิด ที่เอาความเข้าใจผิดมาปรับใช้ ก็คือการอยู่ด้วยกิเลส สะสมความไม่รู้ต่อไปเพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างละเอียด ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 13 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 13 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natural
วันที่ 13 มี.ค. 2556

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 19 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ