การฟังธรรมไม่เป็นมิจฉาปฏิปทาใช่หรือไม่ค่ะ

 
phawinee
วันที่  12 มี.ค. 2556
หมายเลข  22609
อ่าน  1,185

ขออนุญาตเรียนถามท่านอาจารย์ทุกท่านค่ะ ว่า การฟังธรรมไม่เป็นมิจฉาปฏิปทา ตามความเข้าใจอย่างนี้จะถูกหรือผิดอย่างไร ประการใด .. ก็จึงได้กราบเรียนถามเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ ..

ภาวินีย์ ประดิษฐธรรม์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิปทา หมายถึง ทาง เพราะฉะนั้น จึงมี ๒ ทาง คือ ทางถูกและทางผิด นั่นคือ สัมมาปฏิปทาและมิจฉาปฏิปทา ทางที่ถูกหรือสัมมาปฏิปทา คือ ทางที่ทำให้ถึงการดับกิเลสออกจากสังสารวัฏฏ์ ทางที่ผิดหรือมิจฉาปฏิปทา คือ ทางที่ไม่ทำให้ถึงการดับกิเลส ไม่ออกจากสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐาน ๔ อริยมรรคที่เป็นการเจริญวิปัสสนาเป็นหนทางที่ถูก เป็นสัมมาปฏิปทา ที่จะทำให้ถึงการดับกิเลส และ แม้กุศลประการอื่นๆ ที่ปรารภ ปรารถนาที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ ก็ชื่อว่า สัมมาปฏิปทา

ดังอรรถกถาอธิบายว่า ผู้ที่ให้ทาน แม้เพียงข้าวกระบวยเดียว แต่ปรารภปรารถนาเพื่อถึงการดับกิเลส ชื่อว่า สัมมาปฏิปทา เพราะทางที่ชอบ คือ เป็นทางให้ถึงการดับกิเลสได้ในอนาคต สรุปได้ว่า สัมมาปฏิปทา คือ การเจริญกุศลประการใดประการหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อออกจากวัฏฏะ ดับกิเลส มิจฉาปฏิปทา คือ ทางที่ผิด คือ อกุศลก็ชื่อว่าทางที่ผิด และ กุศลอะไรก็ตามที่เจริญแล้ว ปรารถนาเพื่อการเกิดในภพภูมิที่ดี เพื่อได้รูป เสียง กลิ่น รสที่ดี เป็นต้น อันไม่เป็นไปเพื่อการออกจากสังสารวัฏฏ์ ชื่อว่าเป็น มิจฉาปฏิปทา เพราะเป็นทางที่ผิด คือ เป็นทางที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไปครับ เช่น ให้ทานเพื่อที่จะได้ผลของบุญ ให้ทานเพื่อจะได้เกิดในภพภูมิที่ดี และ เจริญฌาน สมถภาวนา เพื่อจะได้เกิดในพรหมโลก เสวยสุข

ดังนั้น ก็กลับมาที่คำถามที่ว่า การฟังธรรมเป็นสัมมาปฎิปทาหรือไม่ พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก เมื่อเราพูดถึงอย่างรวมๆ ว่า การฟังธรรม ก็มักจะเข้าใจว่าดี แต่ในความละเอียดของสภาพธรรม คือ ขณะที่ดี คือ ขณะที่กุศลจิตเกิด และ ขณะที่ไม่ดี ก็คือ ขณะที่อกุศลจิตเกิด เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังธรรม ก็คือ ขณะที่จิต เจตสิก เกิดขึ้นแต่ละขณะ ซึ่ง หากเข้าใจความจริงของปุถุชน โดยมากก็เป็นอกุศลจิตโดยมากที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังธรรม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดกุศลจิตตลอดเวลา ก็มีอกุศลจิตเกิดสลับกันไปมา บางครั้งก็ งง ฟังไม่รู้เรื่อง ก็เป็นอกุศล บางขณะจิตก็คิดเรื่องอื่น คิดเรื่องอาหาร เรื่องญาติ ด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ก็ด้วยอกุศลจิต ซึ่งขณะที่เป็นอกุศลจิตในขณะที่ฟังธรรม ขณะนั้น เป็นทางผิด เป็นมิจฉาปฎิปทา ไม่ใช่สัมมาปฏิปทา เพราะขณะที่อกุศลจิตเกิด ไม่ใช่ทางที่จะทำให้พ้นไปจากทุกข์

และในความละเอียดยังมีอีกครับว่า แม้การฟังธรรม ขณะใดที่ฟังธรรม แล้วปรารถนาอยากจะเข้าใจขณะนั้น เป็นโลภะ ไม่ใช่สัมมาปฏิปทา เป็น มิจฉาปฏิปทา และ ขณะที่ฟังธรรม เพื่อที่จะได้รู้มากๆ ขณะนั้นก็เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะเป็นอกุศล และ ละเอียดลงไปอีกครับว่า ขณะที่ฟังธรรม ปรารถนาให้เกิดในสุคติ คือ ปรารถนาการฟังธรรมเป็นไปในฝ่ายเกิด เกิดในภพภูมิที่ดี เป็นต้น ก็ชื่อว่า เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะ เป็นไปในฝ่ายเกิด ไม่ใช่เป็นไปในฝ่ายดับ

แต่ การฟังธรรมที่จะเป็นสัมมาปฏิปทา คือ ขณะใดที่ฟังเข้าใจ มีความเข้าใจถูกเกิดขึ้นในขณะนั้น ปัญญาที่เกิดขึ้น ที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ ขณะนั้น เป็น สัมมาปฏิปทา เพราะ ปัญญาที่เกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย แต่เป็นปฏิปทา เป็นทางที่จะทำให้หลุดพ้นจากกิเลสได้ในอนาคต ครับ จึงเป็นสัมมาปฎิปทา หรือ การฟังธรรม เพื่อปรารภที่จะดับกิเลส ไม่ได้ปรารถนาอย่างอื่น ก็เป็น สัมมาปฏิปทาเช่นกัน เพราะ เป็นไปเพื่อดับกิเลส ครับ

ดังนั้น ไม่ได้หมายความว่า การฟังธรรม ที่เรียกชื่อกัน จะต้องเป็นสัมมาปฏิปทา แต่จะต้องพิจารณาให้ละเอียด ทีละขณะจิตว่า จิตขณะที่ฟังธรรมเป็นอย่างไร ตามที่ได้อธิบายมา ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่

มิจฉาปฏิปทาเพราะถือวัฏฏะเป็นสำคัญ

สัมมาปฏิปทาโดยแท้เพราะเป็นฝ่ายวิวัฏฏะ

สัมมาปฏิปทา

ปฏิปทา ๒ [ปฏิปทาสูตร]

ตั้งจิตไว้ผิด ตั้งจิตไว้ชอบ [อรรถกถา ปณิหิตอัจฉวรรค สูตรที่ ๒]

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การฟังพระธรรม จุดประสงค์ตัองตรง คือ ฟังเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลากิเลส มีความไม่รู้ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละ เพื่อขัดเกลาโดยตลอด ถ้าศึกษาเพื่อจุดประสงค์อื่น เพื่อลาภสักการะ สรรเสริญ เป็นต้น นั่นไม่ตรงตั้งแต่ต้นแล้ว

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ และ เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ในการประกาศพระศาสนาของพระองค์นั้น ก็เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกได้เข้าใจความจริง หลุดพ้นจากทุกข์ หมดจด จากกิเลสโดยประการทั้งปวงตามพระองค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากการแสดงพระธรรมของพระองค์ในแต่ละครั้งๆ นั้น มีผู้ที่ได้ประโยชน์จากพระธรรม รู้แจ้งอริยสัจจธรรมบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และ พระอริยบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นกว่าที่ท่านจะถึงวันดังกล่าวนั้นได้ ท่านก็ต้องเป็นผู้ได้สะสมการสดับตรับฟังพระธรรม สะสมปัญญามาเป็นเวลาอันยาวนาน ด้วยกันทั้งนั้น

จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดี สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมว่า ไม่ควรที่จะท้อถอย ยิ่งยากก็ยิ่งจะต้องศึกษา เพราะปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรม ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นเรื่องที่ไกลมาก ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นได้ก็ต้องมีวันนี้ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ฟังธรรมเพื่ออวดวิชา เพื่อสอน ยกตนข่มท่าน เป็นมิจฉาปฏิปทา ฟังธรรม แล้วน้อมประพฤติปฎิบัติตามเพื่อสละกิเลส เพื่อออกจากวัฏฏะ เพื่อมรรค ผล นิพพาน เป็นสัมมาปฏิปทา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 13 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 13 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 13 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
phawinee
วันที่ 13 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ทุกๆ ท่านค่ะ สำหรับคำอธิบาย ฟังแล้วก็ให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Thanapolb
วันที่ 14 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สัมมาปฏิปทา เป็นทางที่จะทำให้หลุดพ้นจากกิเลสได้ในอนาคต จึงเป็นสัมมาปฏฺิปทา ถ้ามีสองบุคคล บุคคลหนึ่งมุ่งสู่การรู้แจ้งและดับกิเลสของตน ไม่กลับมาเกิดอีก อีกบุุคลหนึ่ง มุ่งที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมียาวนาน เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็ต้องเกิดหลายกัปป์ ถ้าทั้งสองมีความเห็นถูกเป็นพื้นฐาน ก็ชื่อว่ามีสัมมาปฏิปทา ด้วยใช่ไหมครับ

ที่ถามเช่นนี้ มีความสงสัยตรงที่ บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์ บางชาติก็อาจเกิดเป็นสัตว์ได้ แล้วชาตินั้น ฟังธรรมไม่เข้าใจ แล้วสัมมาปฏิปทา ยังจะมีอยู่ไหมครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
j.jim
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
rrebs10576
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Thanapolb
วันที่ 16 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณและ อนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ