เอหิภิกขุ
อันนี้เป็นปัญหาเชิงประวัติศาสตร์พุทธศาสนานะครับ อาจจะไม่เกี่ยวกับข้อธรรมะ โดยตรง ต้องประทานอภัยด้วย คือกระผมอยากทราบว่า ภายในช่วงเวลา ๙ เดือน (เก้าเดือน) นับจากวันตรัสรู้ การอุปสมบทด้วยวิธีอื่น นอกจากวิธีเอหิภิกขุ ได้มีแล้วหรือยังหรือว่า ในช่วงเวลานั้น มีแต่วิธีเอหิภิกขุเท่านั้น วิธีอื่นยังมิได้มีพระพุทธานุญาต
ขอผู้รู้โปรดช่วยตรวจสอบเพื่อเป็นวิทยาทานด้วยครับ
ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เอหิภิกขุอุปสัมปทา การบวชประเภทนี้ เป็นวิธีการบวชที่พระพุทธเจ้าประทานแก่กุลบุตรผู้ขอบวชด้วยพระองค์เอง เป็นการอนุญาตให้มาเป็นภิกษุโดยการตรัสด้วยพระวาจา แต่จะมีอยู่ ๒ แบบ คือ...
หากบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาขอบวช พระองค์ก็จะตรัสเรียกให้เข้าเป็นภิกษุว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” การตรัสพระวาจาเพียงแค่นี้ก็สำเร็จเป็นภิกษุในพุทธศาสนาแล้ว
สำหรับแบบที่สอง เป็นวิธีการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้แก่บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษสามารถกำจัดกิเลสได้แล้ว พระองค์จะตรัสพระวาจาว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” จะพบพระพุทธเจ้าจะตัดข้อความตอนสุดท้ายออก คือ “ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” เพราะผู้ที่กำจัดกิเลสตัณหาได้แล้ว จะไม่มีความทุกข์โดยสิ้นเชิง ซึ่งในสมัยที่พระพุทธเจ้าแรกตรัสรู้และได้ประกาศ แสดงพระธรรม ได้บวชด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ตอนที่พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยออกประกาศศาสนา ได้เสร็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ประทานการบวชแก่บุคคลผู้เลื่อมใสศรัทธา ขณะที่ประทับอยู่ในเขตเมืองพาราณสีนั้น มีจำนวนถึง ๖๐ รูป แล้วที่เป็นพระอรหันต์และบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยพระพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้ พระองค์ก็ทรงส่งพระสาวกเหล่านั้นออกประกาศศาสนาไปตามบ้าน คามนิคมและราชธานี โดยส่งไปแห่งละรูป มิให้เดินทางไปแห่งเดียวกันสองรูป และ ได้อนุญาตการบวชเพิ่มเติม คือ ให้พระภิกษุทั้งหลาย สามารถบวชผู้อื่นได้โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า ด้วย วิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ ให้บวชด้วยวิธีติสรณคมนูปสัมปทา คือ การอุปสมบทด้วยวิธีให้ผู้ขอบวชกล่าวคำรับเอาและเข้าถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่ง (สรณะ) เป็นที่ระลึก เพราะฉะนั้น หลังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ภายใน ๙ เดือน หลังที่ประกาศพระศาสนา หลังวันอาสาฬหบูชา และ จนได้พระอรหันต์ ๖๐ รูป ก็ได้ให้มีการบวชด้วยวิธี ถึงไตรสรณคมณ์แล้ว ภายใน ๙ เดือนหลังการตรัสรู้แล้ว ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ชัดเจนครับ ขอขอบพระคุณ
ขออนุญาตเรียนถามต่อ
๑ ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชน คงตรัสว่า ..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ แน่นอน แต่ผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคล แต่ยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์ จะตรัสว่า..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ อีกหรือไม่
๒ ท่านว่า ผู้ขอบวชที่ทำบุญถวายอัฐบริขารมาในอดีตชาติ เมื่อตรัสว่า เอหิ ภิกขุ ...เครื่องอัฐบริขารก็จะสวมใส่เข้าที่ร่างกาย ที่เรียกว่าสำเร็จด้วยฤทธิ์ สงสัยว่า บาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์เช่นนั้นจะเกิดเฉพาะผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคลแล้วเท่านั้น (แม้จะยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์) หรือว่า แม้ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชนก็มีบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์เกิดขึ้นด้วยถ้าได้เคยทำบุญไว้ในอดีต
ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้สัตว์โลกผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมา ได้ยิน ได้ฟัง ได้อบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากทุกข์ เหมือนอย่างพระองค์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศพระศาสนาของพระองค์นั้น มีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงประมาณนับไม่ถ้วน ทั้งมนุษย์ เทวดา และ พรหมบุคคล
สำหรับในช่วง ๙ เดือนหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ (ตั้งแต่วันเพ็ญเดือน ๖ จนกระทั่งถึงวันเพ็ญเดือน ๓ ที่พระองค์ทรงประชุมพระสาวก ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระวิหารเวฬุวัน) นั้น หลังจากพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเป็นครั้งแรกเมื่อวันเพ็ญเดือน ๘ มีพระอริยสงฆ์องค์แรกในโลก คือ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา วันต่อๆ มา ท่านวัปปะกับภัททิยะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วขออุปสมบท วันต่อมา ท่านมหานามะและท่านอัสสชิกได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วขออุปสมบท ทั้ง ๕ ท่านได้รับการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ และในที่สุด ๕ ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ต่อจากนั้น พระองค์ก็ทรงโปรดท่านพระยสะกับบริวาร รวมแล้วได้ ๕๕ เมื่อรวมกับพระภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็ได้พระสาวก ๖๐ องค์พอดี ซึ่งทั้งหมดล้วนได้รับการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ทั้งนั้น พระองค์ก็ทรงส่งพระอริยสาวกเหล่านี้ไปประกาศพระศาสนา และทรงอนุญาตให้พระสาวกอุปสมบทแก่กุลบุตรผู้เลื่อมใส ด้วยวิธีการเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ เป็นที่พึ่ง ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ระหว่างทางทรงแสดงธรรมโปรดกลุ่มอุบาสกภัททวัคคีย์ (๓๐ คน) ได้ขออุปสมบททั้งหมด พระองค์ทรงประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ
ต่อจากนั้นทรงแสดงธรรมโปรดชฎิล ๓ พี่น้องและบริวาร ทั้งหมดก็ได้ขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จไปที่กรุงราชคฤห์โปรดพระเจ้าพิมพิสารและบริวาร ตลอดจน พระองค์ได้คู่พระอัครวก คือ พระสารีบุตร กับพระมหาโมคคัลลานะ ตลอดจนถึงบริวารของทั้งสองท่านอีก ๒๕๐ พระอัครสาวกทั้งสองและบริวาร พระองค์ก็ทรงประทานการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ
จนกระทั่งวันเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา พระองค์ก็ทรงประชุมพระสาวก พร้อมทั้งทรงแสดงพระโอวาทปาฏิโมกข์อันเป็นคำสอนที่เป็นหลักเป็นประทาน เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปในอบาย เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นคำสอนที่ทำให้พ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธจ้าทุกๆ พระองค์ทรงแสดง
จึงสรุปได้ว่า ในช่วง ๙ เดือนแรกแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น มีการบวช ๒ วิธี คือ เอหิภิกขุ โดยที่พระองค์ทรงประทานด้วยพระองค์เอง ส่วนการบวชด้วยวิธีการถึงพระรัตนะทั้ง ๓ เป็นที่พึ่งนั้น พระสงฆ์สาวกเป็นผู้อุปสมบทให้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
๑ ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชน คงตรัสว่า ..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ แน่นอน แต่ผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคล แต่ยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์ จะตรัสว่า..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ อีกหรือไม่
-เช่นเดียวกัน ครับ เพราะคำว่า ที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ หมายถึง พระอรหันต์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจะบวชเอหิภิกขุ และ ตรัสว่า เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ครับ แม้พระอริยเจ้าที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็เช่นกัน
๒ ท่านว่า ผู้ขอบวชที่ทำบุญถวายอัฐบริขารมาในอดีตชาติ เมื่อตรัสว่า เอหิ ภิกขุ ...เครื่องอัฐบริขารก็จะสวมใส่เข้าที่ร่างกาย ที่เรียกว่า สำเร็จด้วยฤทธิ์ สงสัยว่า บาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์เช่นนั้นจะเกิดเฉพาะผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคลแล้วเท่านั้น (แม้จะยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์) หรือว่า แม้ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชนก็มีบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์เกิดขึ้นด้วย ถ้าได้เคยทำบุญไว้ในอดีต
-พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้งมาก ครับ แม้แต่ในประเด็นนี้ ซึ่ง บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ไม่ใช่แค่เพียงที่จะได้ทำบุญมาในดีต ในการถวายอัฐบริขารมา แต่ จะต้องถึงพร้อมด้วยการถึงความเป็นพระอรหันต์ด้วย ถึงจะได้บาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ หากไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เช่น เป็นเพียงพระอนาคามี แม้จะทำบุญถวายอัฐบริขานในอดีตชาติ ก็ไม่สามารถได้บาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ ครับ เพราะไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ยกตัวอย่างเช่น ท่านพระเจ้าปุกกุสาติ เมื่อท่านได้ฟังธรรมบรรลุเป็นพระอนาคามี แม้ทำบุญมา แต่ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ได้บาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ ครับ แต่ถ้าพระพุทธเจ้าบวชด้วยเอหิภิกขุ แม้ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ บาตร จีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ได้ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเสริมในความคิดเห็นที่ ๓ จากคำถามข้อที่ ๒ ของท่านนาวาเอกทองย้อย ครับ
จากที่ได้ฟังและได้ศึกษา จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุนั้น มีทั้งผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ [ซึ่งในที่สุดจะต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยแน่นอน] และ มีทั้งผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล เช่น พระปัญจวัคคีย์ เป็นต้น ท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้มีบาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นแล้วว่า ท่านเหล่านั้นได้สะสมเหตุมาที่จะเป็นเหตุให้บาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ถึงพร้อมหรือไม่ ครับ
...ขอบพระคุณ อ.ผเดิม และ ขอออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การบวชด้วยเอหิภิกษุต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่บวชให้ และผู้นั้นต้องเคยทำบุญด้วยบาตรและจีวร เป็นผู้ที่ได้สะสมบุญบารมีมามาก และ เกิดเป็นชาติสุดท้าย อย่างท่านพาหิยะ เป็นผู้บรรลุเร็ว ไม่ได้บวชด้วยเอหิภิกษุ เพราะหมดอายุไขย ค่ะ
ข้อความในอรรถกถาของธาตุวิภังคสูตร ได้อธิบายเรื่องบาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ๋ (ของท่านปุกกุสาติ ที่บรรลุพระอนาคามี) เอาไว้ว่า....
"....เพราะเหตุไร บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จึงไม่เกิดขึ้นแก่กุลบุตรเล่า
ตอบว่า เพราะความที่บริขาร ๘ อย่าง อันกุลบุตรไม่เคยให้ทานแล้วในกาลก่อน. กุลบุตรมีทานเคยถวายแล้ว มีอภินิหารได้กระทำแล้ว จึงไม่ควรกล่าวว่า เพราะความที่ทานไม่เคยให้แล้ว. ก็บาตรและจีวรอันสำเร็จแต่ฤทธิ์ ย่อมเกิดแก่สาวกทั้งหลายผู้มีภพสุดท้ายเท่านั้น. ส่วนกุลบุตรนี้ยังมีปฏิสนธิอีก. เพราะฉะนั้น บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จึงไม่เกิดขึ้น...."กราบขอบพระคุณทุกคำตอบครับ
ขออนุญาตสรุปเพื่อความแน่ใจนะครับ
๑ บาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์จะเกิดมีเฉพาะแก่เอหิภิกขุผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบันเท่านั้น (และ)
๒ ผู้นั้นต้องได้เคยทำบุญถวายอัฐบริขารมาแล้วในอดีต
๓ บุคคลตามข้อ ๑ และ ๒ นั้น แม้ขณะที่ขอบวชแบบเอหิภิกขุ จะยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็จะมีบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์เกิดขึ้นเช่นกัน
ถูกต้องตามนี้ ใช่ไหมครับ