เอหิภิกขุ

 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่  13 มี.ค. 2556
หมายเลข  22621
อ่าน  9,740

อันนี้เป็นปัญหาเชิงประวัติศาสตร์พุทธศาสนานะครับ อาจจะไม่เกี่ยวกับข้อธรรมะ โดยตรง ต้องประทานอภัยด้วย คือกระผมอยากทราบว่า ภายในช่วงเวลา ๙ เดือน (เก้าเดือน) นับจากวันตรัสรู้ การอุปสมบทด้วยวิธีอื่น นอกจากวิธีเอหิภิกขุ ได้มีแล้วหรือยังหรือว่า ในช่วงเวลานั้น มีแต่วิธีเอหิภิกขุเท่านั้น วิธีอื่นยังมิได้มีพระพุทธานุญาต

ขอผู้รู้โปรดช่วยตรวจสอบเพื่อเป็นวิทยาทานด้วยครับ

ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เอหิภิกขุอุปสัมปทา การบวชประเภทนี้ เป็นวิธีการบวชที่พระพุทธเจ้าประทานแก่กุลบุตรผู้ขอบวชด้วยพระองค์เอง เป็นการอนุญาตให้มาเป็นภิกษุโดยการตรัสด้วยพระวาจา แต่จะมีอยู่ ๒ แบบ คือ...

หากบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาขอบวช พระองค์ก็จะตรัสเรียกให้เข้าเป็นภิกษุว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” การตรัสพระวาจาเพียงแค่นี้ก็สำเร็จเป็นภิกษุในพุทธศาสนาแล้ว

สำหรับแบบที่สอง เป็นวิธีการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้แก่บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษสามารถกำจัดกิเลสได้แล้ว พระองค์จะตรัสพระวาจาว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” จะพบพระพุทธเจ้าจะตัดข้อความตอนสุดท้ายออก คือ “ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” เพราะผู้ที่กำจัดกิเลสตัณหาได้แล้ว จะไม่มีความทุกข์โดยสิ้นเชิง ซึ่งในสมัยที่พระพุทธเจ้าแรกตรัสรู้และได้ประกาศ แสดงพระธรรม ได้บวชด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

ตอนที่พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยออกประกาศศาสนา ได้เสร็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ประทานการบวชแก่บุคคลผู้เลื่อมใสศรัทธา ขณะที่ประทับอยู่ในเขตเมืองพาราณสีนั้น มีจำนวนถึง ๖๐ รูป แล้วที่เป็นพระอรหันต์และบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยพระพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้ พระองค์ก็ทรงส่งพระสาวกเหล่านั้นออกประกาศศาสนาไปตามบ้าน คามนิคมและราชธานี โดยส่งไปแห่งละรูป มิให้เดินทางไปแห่งเดียวกันสองรูป และ ได้อนุญาตการบวชเพิ่มเติม คือ ให้พระภิกษุทั้งหลาย สามารถบวชผู้อื่นได้โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า ด้วย วิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ ให้บวชด้วยวิธีติสรณคมนูปสัมปทา คือ การอุปสมบทด้วยวิธีให้ผู้ขอบวชกล่าวคำรับเอาและเข้าถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่ง (สรณะ) เป็นที่ระลึก เพราะฉะนั้น หลังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ภายใน ๙ เดือน หลังที่ประกาศพระศาสนา หลังวันอาสาฬหบูชา และ จนได้พระอรหันต์ ๖๐ รูป ก็ได้ให้มีการบวชด้วยวิธี ถึงไตรสรณคมณ์แล้ว ภายใน ๙ เดือนหลังการตรัสรู้แล้ว ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 14 มี.ค. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 14 มี.ค. 2556

ชัดเจนครับ ขอขอบพระคุณ

ขออนุญาตเรียนถามต่อ

๑ ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชน คงตรัสว่า ..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ แน่นอน แต่ผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคล แต่ยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์ จะตรัสว่า..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ อีกหรือไม่

๒ ท่านว่า ผู้ขอบวชที่ทำบุญถวายอัฐบริขารมาในอดีตชาติ เมื่อตรัสว่า เอหิ ภิกขุ ...เครื่องอัฐบริขารก็จะสวมใส่เข้าที่ร่างกาย ที่เรียกว่าสำเร็จด้วยฤทธิ์ สงสัยว่า บาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์เช่นนั้นจะเกิดเฉพาะผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคลแล้วเท่านั้น (แม้จะยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์) หรือว่า แม้ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชนก็มีบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์เกิดขึ้นด้วยถ้าได้เคยทำบุญไว้ในอดีต

ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 14 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้สัตว์โลกผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมา ได้ยิน ได้ฟัง ได้อบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากทุกข์ เหมือนอย่างพระองค์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศพระศาสนาของพระองค์นั้น มีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงประมาณนับไม่ถ้วน ทั้งมนุษย์ เทวดา และ พรหมบุคคล

สำหรับในช่วง ๙ เดือนหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ (ตั้งแต่วันเพ็ญเดือน ๖ จนกระทั่งถึงวันเพ็ญเดือน ๓ ที่พระองค์ทรงประชุมพระสาวก ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระวิหารเวฬุวัน) นั้น หลังจากพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเป็นครั้งแรกเมื่อวันเพ็ญเดือน ๘ มีพระอริยสงฆ์องค์แรกในโลก คือ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา วันต่อๆ มา ท่านวัปปะกับภัททิยะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วขออุปสมบท วันต่อมา ท่านมหานามะและท่านอัสสชิกได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วขออุปสมบท ทั้ง ๕ ท่านได้รับการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ และในที่สุด ๕ ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ต่อจากนั้น พระองค์ก็ทรงโปรดท่านพระยสะกับบริวาร รวมแล้วได้ ๕๕ เมื่อรวมกับพระภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็ได้พระสาวก ๖๐ องค์พอดี ซึ่งทั้งหมดล้วนได้รับการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ทั้งนั้น พระองค์ก็ทรงส่งพระอริยสาวกเหล่านี้ไปประกาศพระศาสนา และทรงอนุญาตให้พระสาวกอุปสมบทแก่กุลบุตรผู้เลื่อมใส ด้วยวิธีการเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ เป็นที่พึ่ง ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ระหว่างทางทรงแสดงธรรมโปรดกลุ่มอุบาสกภัททวัคคีย์ (๓๐ คน) ได้ขออุปสมบททั้งหมด พระองค์ทรงประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ

ต่อจากนั้นทรงแสดงธรรมโปรดชฎิล ๓ พี่น้องและบริวาร ทั้งหมดก็ได้ขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จไปที่กรุงราชคฤห์โปรดพระเจ้าพิมพิสารและบริวาร ตลอดจน พระองค์ได้คู่พระอัครวก คือ พระสารีบุตร กับพระมหาโมคคัลลานะ ตลอดจนถึงบริวารของทั้งสองท่านอีก ๒๕๐ พระอัครสาวกทั้งสองและบริวาร พระองค์ก็ทรงประทานการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ

จนกระทั่งวันเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา พระองค์ก็ทรงประชุมพระสาวก พร้อมทั้งทรงแสดงพระโอวาทปาฏิโมกข์อันเป็นคำสอนที่เป็นหลักเป็นประทาน เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปในอบาย เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นคำสอนที่ทำให้พ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธจ้าทุกๆ พระองค์ทรงแสดง

จึงสรุปได้ว่า ในช่วง ๙ เดือนแรกแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น มีการบวช ๒ วิธี คือ เอหิภิกขุ โดยที่พระองค์ทรงประทานด้วยพระองค์เอง ส่วนการบวชด้วยวิธีการถึงพระรัตนะทั้ง ๓ เป็นที่พึ่งนั้น พระสงฆ์สาวกเป็นผู้อุปสมบทให้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 14 มี.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

๑ ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชน คงตรัสว่า ..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ แน่นอน แต่ผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคล แต่ยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์ จะตรัสว่า..เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ อีกหรือไม่

-เช่นเดียวกัน ครับ เพราะคำว่า ที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ หมายถึง พระอรหันต์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจะบวชเอหิภิกขุ และ ตรัสว่า เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ครับ แม้พระอริยเจ้าที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็เช่นกัน

๒ ท่านว่า ผู้ขอบวชที่ทำบุญถวายอัฐบริขารมาในอดีตชาติ เมื่อตรัสว่า เอหิ ภิกขุ ...เครื่องอัฐบริขารก็จะสวมใส่เข้าที่ร่างกาย ที่เรียกว่า สำเร็จด้วยฤทธิ์ สงสัยว่า บาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์เช่นนั้นจะเกิดเฉพาะผู้ขอบวชที่เป็นอริยบุคคลแล้วเท่านั้น (แม้จะยังไม่ถึงภูมิพระอรหันต์) หรือว่า แม้ผู้ขอบวชที่ยังเป็นปุถุชนก็มีบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์เกิดขึ้นด้วย ถ้าได้เคยทำบุญไว้ในอดีต

-พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้งมาก ครับ แม้แต่ในประเด็นนี้ ซึ่ง บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ไม่ใช่แค่เพียงที่จะได้ทำบุญมาในดีต ในการถวายอัฐบริขารมา แต่ จะต้องถึงพร้อมด้วยการถึงความเป็นพระอรหันต์ด้วย ถึงจะได้บาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ หากไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เช่น เป็นเพียงพระอนาคามี แม้จะทำบุญถวายอัฐบริขานในอดีตชาติ ก็ไม่สามารถได้บาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ ครับ เพราะไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ยกตัวอย่างเช่น ท่านพระเจ้าปุกกุสาติ เมื่อท่านได้ฟังธรรมบรรลุเป็นพระอนาคามี แม้ทำบุญมา แต่ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ได้บาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ ครับ แต่ถ้าพระพุทธเจ้าบวชด้วยเอหิภิกขุ แม้ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ บาตร จีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ได้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเสริมในความคิดเห็นที่ ๓ จากคำถามข้อที่ ๒ ของท่านนาวาเอกทองย้อย ครับ

จากที่ได้ฟังและได้ศึกษา จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุนั้น มีทั้งผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ [ซึ่งในที่สุดจะต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยแน่นอน] และ มีทั้งผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล เช่น พระปัญจวัคคีย์ เป็นต้น ท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้มีบาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นแล้วว่า ท่านเหล่านั้นได้สะสมเหตุมาที่จะเป็นเหตุให้บาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ถึงพร้อมหรือไม่ ครับ

...ขอบพระคุณ อ.ผเดิม และ ขอออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 15 มี.ค. 2556

การบวชด้วยเอหิภิกษุต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่บวชให้ และผู้นั้นต้องเคยทำบุญด้วยบาตรและจีวร เป็นผู้ที่ได้สะสมบุญบารมีมามาก และ เกิดเป็นชาติสุดท้าย อย่างท่านพาหิยะ เป็นผู้บรรลุเร็ว ไม่ได้บวชด้วยเอหิภิกษุ เพราะหมดอายุไขย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ข้อความในอรรถกถาของธาตุวิภังคสูตร ได้อธิบายเรื่องบาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ๋ (ของท่านปุกกุสาติ ที่บรรลุพระอนาคามี) เอาไว้ว่า....

"....เพราะเหตุไร บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จึงไม่เกิดขึ้นแก่กุลบุตรเล่า

ตอบว่า เพราะความที่บริขาร ๘ อย่าง อันกุลบุตรไม่เคยให้ทานแล้วในกาลก่อน. กุลบุตรมีทานเคยถวายแล้ว มีอภินิหารได้กระทำแล้ว จึงไม่ควรกล่าวว่า เพราะความที่ทานไม่เคยให้แล้ว. ก็บาตรและจีวรอันสำเร็จแต่ฤทธิ์ ย่อมเกิดแก่สาวกทั้งหลายผู้มีภพสุดท้ายเท่านั้น. ส่วนกุลบุตรนี้ยังมีปฏิสนธิอีก. เพราะฉะนั้น บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จึงไม่เกิดขึ้น...."
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 15 มี.ค. 2556

กราบขอบพระคุณทุกคำตอบครับ

ขออนุญาตสรุปเพื่อความแน่ใจนะครับ

๑ บาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์จะเกิดมีเฉพาะแก่เอหิภิกขุผู้ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบันเท่านั้น (และ)

๒ ผู้นั้นต้องได้เคยทำบุญถวายอัฐบริขารมาแล้วในอดีต

บุคคลตามข้อ ๑ และ ๒ นั้น แม้ขณะที่ขอบวชแบบเอหิภิกขุ จะยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็จะมีบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์เกิดขึ้นเช่นกัน

ถูกต้องตามนี้ ใช่ไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nopwong
วันที่ 16 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
paderm
วันที่ 16 มี.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 9 ครับ

ถูกต้อง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 16 มี.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
nong
วันที่ 18 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Komsan
วันที่ 9 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
boonpoj
วันที่ 10 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
orawan.c
วันที่ 18 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
pamali
วันที่ 28 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 3 พ.ย. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ