ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๘๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๒]
--- โลกนี้จะมีอะไร นอกจากสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป เรื่องจริงต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ คือ สภาพธรรมเกิดปรากฏสั้นมากแล้วก็ดับไป
--- จะหลงลืมสติสักเท่าไร ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการที่ในสังสารวัฏฏ์แสนโกฏิกัปป์ มาแล้วหลงลืมสติ วันนี้มีอกุศลเกิดมากเท่าไร ก็แสดงว่าหลงลืมสติมากเท่านั้น
--- อธิษฐานบารมี ความมั่นคงในการเจริญกุศลเพื่ออบรมเจริญปัญญา ขัดเกลาละ คลายกิเลสนั้น บางท่านก็น้อยมาก จะเห็นว่า ไม่มั่นคงพอ ทั้งๆ ที่รู้ว่า กุศลเป็นสิ่งที่ดี ควรที่จะมีมากๆ ควรที่จะเจริญ ควรที่จะสะสม และควรที่จะมีความมั่นคงขึ้นด้วย แต่ แม้กระนั้นก็จะเห็นได้ว่า ยากที่จะมั่นคง เพราะเหตุว่าทุกคนก็มีอกุศลที่มากมายพร้อม ที่จะทำให้รวนเร กลับกลอกไม่มั่นคง เพราะเหตุว่าจิตใจก็เปลี่ยนแปลงเกิดดับ รวดเร็ว
--- ถ้าอกุศลน้อยลง ความมั่นคงของอธิษฐานบารมีก็จะมากขึ้น
--- ทุกคนคิดทุกวัน ตามสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วแต่จะเป็นเรื่องอะไร เพราะฉะนั้น ในขณะที่ฟังพระธรรม จะคิดเรื่องธรรม จะพิจารณา จะเพิ่มความเข้าใจขึ้น
ถ้าฟังพระธรรมจนกระทั่งเป็นอุปนิสัยแล้ว เวลาที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็ยังอาจจะคิด
เรื่องธรรมแทนที่จะคิดเรื่องอื่นก็ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงกำลังของการสะสม ซึ่งควรที่
จะไม่ประมาทเลย
จะต้องเป็นผู้ละเอียดและเห็นโทษของกาย วาจาที่ไม่จริง แม้ในเรื่องเล็กๆ
น้อยๆ ก่อน ก็จะต้องรู้ว่า ขณะใดที่ผิดพลาดไปจากความจริง ขณะนั้นเป็นไปตาม
กำลังของกิเลสที่สะสมมา ถ้าสังเกตตัวเอง พิจารณาตัวเอง เห็นโทษของอกุศลซึ่ง
สะสมมาที่จะทำให้ขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นไปในอกุศลอย่างนั้นๆ ก็จะเป็นทางให้เห็นโทษ
ของความไม่จริง แล้วจะเป็นผู้มีความมั่นคงในความจริงขึ้น
จาคาธิษฐาน (ความตั้งใจมั่นในการสละกิเลส) ซึ่งไม่ใช่เพียงสละวัตถุซึ่งเป็น
ทาน เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น เพราะนั่นเป็นประโยชน์บุคคลอื่น แต่นี่เป็น
จาคะ เป็นการสละ เป็นประโยชน์ตน เพราะเหตุว่าเมื่อสละวัตถุเพื่อบุคคลอื่นแล้ว
ก็ยังต้องพิจารณาถึงกาย วาจาของตน ซึ่งควรจะเป็นกุศลด้วย มิฉะนั้นก็เพียงแต่สละ
วัตถุเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น แต่ไม่ได้พิจารณาที่จะสละกิเลสของตนเพื่อ
ขัดเกลาตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง
เรื่องของการให้ ไม่ควรจะคิดแต่เฉพาะวัตถุ แต่ควรจะพิจารณาให้ละเอียดว่า
เมื่อเป็นผู้ให้ทานวัตถุแล้ว ก็ควรเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ในขณะที่ให้ ให้ด้วยความ
อนุเคราะห์และไม่เบียดเบียนด้วย
เรื่องของการให้ เมื่อมีเหตุการณ์ใดที่ควรจะให้ ก็ให้ เพื่อเป็นอุปนิสัย แต่ไม่ใช่
กังวลเรื่องอยากจะมีทานกุศลทุกๆ วัน และสำหรับในเรื่องของจาคะ การสละกิเลส
ควรพิจารณาแม้ในเรื่องการให้ คือ ไม่ให้เพื่อหวังผลตอบแทน เพราะเหตุว่าบารมีทุก
บารมี มีโลภะเป็นข้าศึกถ้ามีโลภะ มีความผูกพัน หรือมีการหวังผลใดๆ ตอบแทน
ขณะนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อการเจริญบารมี
การศึกษาธรรม นั้น เพื่อให้รู้ตัวจริงของธรรม ไม่ใช่เพียงรู้เรื่องของธรรมเท่านั้น
ระลึกเรื่องตายแล้วเกิดอะไรขึ้น ขณะใดก็ตามที่ระลึกถึงความตายแล้วกุศลจิต
เกิด ขณะที่กำลังโกรธ ถ้าระลึกถึงความตายแล้วไม่โกรธ เพราะว่าตายแล้วก็ยังเอา
ความโกรธติดตัวไปมากด้วย จะมีประโยชน์อะไร หรือว่ากำลังริษยาแล้วก็ระลึกถึงความ
ตายก็ต้องไม่ริษยา เพราะรู้ว่าถ้าริษยาในขณะนั้น ตายไปก็ริษยานั้นสะสมไปในชาติ
ต่อๆ ไป
จุดประสงค์จริงๆ ของการที่จะฟังพระธรรมเพื่อดับกิเลส เพราะมิฉะนั้นแล้วไม่มี
หนทางอื่นเลย จะให้ทานสักเท่าไร หรือจะรักษาศีลสักเท่าไร แต่ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้
ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ก็ยังดับกิเลส-
ไม่ได้
เมื่อกิเลสยังไม่ดับ เวลาที่มีเหตุปัจจัยของกิเลสประเภทใด กิเลสประเภทนั้นๆ
ก็เกิด โดยที่บุคคลนั้นไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้ว่า วันไหนกิเลสระดับใดจะเกิด
เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่มีปัจจัย กิเลสนั้นก็ยังไม่เกิด
บุญ สะอาด ไม่มีโทษ เป็นการชำระอกุศล ที่มีการทำบุญเพราะเห็นโทษของ
อกุศล
ไม่ได้ชำระล้างอกุศลแน่ ถ้าทำด้วยความติดข้องต้องการ
อกุศลจะหมดไปได้ ด้วยความรู้
บูชาคุณจริงๆ จะต้องเป็นผู้รู้จักคุณ ถ้าไม่รู้จักคุณแล้วจะบูชาคุณได้อย่างไร
ยังมีอกุศลมาก หนทางเดียวที่จะค่อยๆ ขัดเกลาได้ ก็ด้วยความเข้าใจถูกเห็น
ถูกที่ค่อยๆ เจริญขึ้น
กรรมที่เป็นอกุศล มาจากจิตที่เป็นอกุศล
กุศล ห่างไกลจากอกุศล กุศลกับอกุศล จะเกิดด้วยกันไม่ได้ แต่กุศล ย่อมใกล้
กับกุศล คือ กุศลจิต ย่อมเกิดร่วมกับเจตสิกธรรมที่ดีงามมีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ
เป็นต้น ซึ่ง อกุศลเจตสิกทั้งหลาย ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย
กำลังของปัญญาจนสามารถดับความติดข้องต้องการได้ จะมาจากไหน? ก็มา
จากความเข้าใจถูกเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย นี้เอง
ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้จริงๆ .
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๘๑ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม คุณวันชัย และทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- ทำไมถึงต้องตั้งชื่อ อยากให้คนอื่นรู้ใช่ไหมคะ แต่ถึงแม้เราไม่เรียกชื่อ สิ่งนั้น
ก็ปรากฎแล้ว เหนียวๆ เหนอะๆ หนะๆ ลื่นๆ อะไรนี้ เรียกว่าอะไรคะ ลองไปสัมผัส
อะไรสักอย่าง บอกได้ไหมว่าลักษณะนั้นเป็นยังไงเหนอะ หนะ นุ่ม ลื่น หรืออะไร
สารพัดอย่าง จะเอาอะไรมาพูดมาอธิบาย ไม่ตรงกับสภาพธรรมที่ปรากฎแล้วเปลี่ยน
ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะมีสัก ๑๐๐ คำ ๑,๐๐๐ คำ ก็ตามแต่นะคะ ไม่เหมือนกับที่ขณะ
ที่สภาพธรรมนั้นกำลังปรากฎถึงไม่เรียกชื่อเลย สภาพนั้นก็เป็นอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้
เลย แต่เรียกเพื่อที่จะให้คนอื่นเข้าใจความหมายว่าหมายความถึงลักษณะสภาพธรรม
อะไร เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมนี้ต้องรอบคอบ ละเอียด แล้วก็ตรง คือเพื่อละความ
ไม่รู้ ตราบใดที่ยังไม่รู้อยู่ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้เพราะว่าปกปิด
ความจริง ไม่ให้เห็นว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ
คำว่า เมตตา นั้น ภาษาไทยใช้คำว่า มิตร คือ เพื่อน คำว่าเพื่อนนั้นลึกลงไปถึง
ความไม่หวังร้ายต่อผู้ที่เราเป็นเพื่อนด้วย เมื่อเราเป็นเพื่อนกับใครเราจะไม่แข่งดี
หรือไม่แม้คิดที่จะแข่งดีกับเพื่อน ถ้าคิดแข่งดีกับใครขณะใด ขณะนั้นไม่มีความเป็น
เพื่อนกับผู้นั้น เพราะเพื่อนจะต้องสนับสนุนส่งเสริมเกื้อกูลกันตลอดไป พิจารณารู้
ได้ว่าจิตขณะใดเป็นเพื่อนกับใคร เช่น เวลารับประทานอาหารด้วยกันก็เป็นเพื่อน แต่
พอถึงเวลางานก็ไม่ใช่เพื่อนเสียแล้วก็เป็นได้เริ่มตั้งแต่เด็ก ผู้ไม่ประมาท รู้อะไรถูก
อะไรควร ถ้าสะสมไว้แม้เป็นเด็กก็ไม่โกง แต่พอโตขึ้น อกุศลที่มีอยู่ ก็ยังมีความไม่
แน่นอน ก็โกงมากขึ้นก็ได้ เมื่อมีการละเล่นเพลิดเพลินเพื่อความสนุก แม้เรื่องเล็ก
น้อย เคยโกงบ้างหรือไม่ ทุจริตเกิดขึ้นได้แม้เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เพราะฉะนั้น
กว่าที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริงได้ ต้องเป็นผู้ซื่อตรง พิจารณาแยบคาย ด้วยความ
ละเอียดถูกต้อง ไม่ว่าเมื่อใด สถาณการณ์ใด มิฉะนั้นโกงจากที่เล็กน้อย ก็เป็นโกง
มากๆ แสดงให้เห็นว่า ถ้าประมาทอกุศลมีทางที่จะเพิ่มขึ้นให้โทษ โดยที่ผู้นั้นไม่รู้
เลยว่าผลทั้งหมดมาจากกรรมของตน
- เมตตาไม่จำกัดเฉพาะคนดี ปรกติถ้าเป็นคนดีก็ง่ายที่จะเกิดมีเมตตา แต่ถ้าสะสม
ที่จะร้ายมาก แม้แต่คนดีก็ยังเมตตาเกิดไม่ได้ก็มี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงธรรมซึ่ง เป็นธาตุ
ที่กุศลธรรมจะเกิดหรือไม่ ก็แล้วแต่การสะสม ซึ่งเมตตาสามารถเกิดได้ ไม่จำกัดเฉพาะ
บุคคล ใครที่ทำอกุศลกรรมด้วยความไม่รู้ ต้องได้รับผลโดยไม่ต้องเรียกร้อง ควรเมตตา
หรือว่าสงสารช้า คือ สงสารเมื่อเวลาที่เขาได้รับผลของกรรมแล้ว
- การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่า
เป็นธรรม ที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นโมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วย อวิชชา
ที่ถือมั่นโดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตามความจริง น้อม
ไปสู่ความจริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น คุณเผดิม และทุกๆ ท่านครับ
และ ขออนุญาตร่วมปันธรรม ที่มีความประทับใจ
จากการฟังพระธรรมที่มูลนิธิฯในชั่วโมงพื้นฐานพระอภิธรรมเมื่อเช้าวันนี้ ดังนี้ครับ
.........
...ถ้าไม่มีปัญญา จะรู้ความจริงไม่ได้เลย...
...ต้องฟังอีกมาก กว่าจะเริ่มละคลายความไม่รู้ และ ความติดข้อง....
...ไม่มีการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ถ้าไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่กำลังปรากฏ แต่ละหนึ่งๆ ...
...จะนาน ด้วยความไม่รู้ หรือว่า จะนาน ด้วยความค่อยๆ เข้าใจขึ้น...
...อย่าคิดที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยไม่มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก...
...ใครที่คิดว่าธรรมะง่ายๆ ไม่รู้จักธรรมะ...
.............
ขออนุโมทนาและขอบคุณข้อความสั้นที่มีความหมาย..เตือนให้ระลึกถึงพระธรรม
จะหลงลืมสติสักเท่าไร ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการที่ในสังสารวัฏฏ์แสนโกฏิกัปป์
มาแล้วหลงลืมสติ วันนี้มีอกุศลเกิดมากเท่าไร ก็แสดงว่าหลงลืมสติมากเท่านั้น
ถ้าฟังพระธรรมจนกระทั่งเป็นอุปนิสัยแล้ว เวลาที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็ยังอาจจะคิด
เรื่องธรรมแทนที่จะคิดเรื่องอื่นก็ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงกำลังของการสะสม ซึ่งควรที่
จะไม่ประมาทเลย
กำลังของปัญญาจนสามารถดับความติดข้องต้องการได้ จะมาจากไหน? ก็มา
จากความเข้าใจถูกเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย นี้เอง
- การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่า
เป็นธรรม ที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นโมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วย อวิชชา
ที่ถือมั่นโดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตามความจริง น้อม
ไปสู่ความจริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.เผดิม อย่างยิ่งค่ะ...